พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้นำจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย เลขาธิการอาเซียน และประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ครั้งที่ 12 (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่มุ่งมั่นพัฒนา IMT-GT ให้เป็นอนุภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนประชาคมอาเซียนในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความเชื่อมโยงภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และในการสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างกว้างขวางและทั่วถึง พร้อมทั้งยังได้ร่วมมืออย่างแข็งขันในการขับเคลื่อน IMT-GT โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการมุ่งสู่การเป็นอนุภูมิภาคที่มีเป็นพื้นที่การพัฒนาอย่างมีบูรณาการ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ปราศจากความเหลื่อมล้ำ และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ท่ามกลางเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับโลกและภูมิภาคอย่างรวดเร็ว นายกรัฐมนตรีเสนอให้ที่ประชุมนำมาร่วมพิจารณาในการปรับปรุงด้านการผลิตและการบริการ เพื่อสนองรูปแบบการบริโภคสินค้าใหม่ พัฒนารูปแบบทางการค้า และเร่งรัดพัฒนาเครือข่ายเมืองสีเขียว ตลอดจนระบบโลจิสติกส์ และการขนส่งสีเขียวที่เป็นรูปธรรมให้เร็วยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อที่ประชุมฯ 5 ประการ ดังนี้ ประการแรก การติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของแผนงาน IMT-GT บนพื้นฐานของการลดหรือขจัดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง โดยพิจารณาจากผลสำเร็จในการยกระดับคุณภาพชีวิตของภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วน การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจถึงระดับชุมชนท้องถิ่น โอกาสสำหรับกลุ่มวิสาหกิจทุกขนาด การมีแหล่งเงินทุนทั้งเพื่อ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ลงไปถึงเครื่องมือทางการเงินระดับเล็ก เช่น กองทุนการเงินชุมชน รวมไปถึงการลดความเหลื่อมล้ำทางสิทธิและโอกาสในการใช้บริการสาธารณะ การเข้าถึงระบบการศึกษาและการพัฒนาทักษะฝีมือ
ประการที่สอง การพัฒนาด้านความเชื่อมโยงโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่มีการจัดลำดับความสำคัญและบูรณาการแผนงานระหว่างกันเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงโดยใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในโลกและภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเร่งพัฒนาโครงการ 1) ระเบียงเศรษฐกิจระนอง-ภูเก็ต-ปีนัง-อาเจะห์ / เมดาน-ปีนัง-สงขลา ที่จะเชื่อมโยงทางทะเลจากแผ่นดินใหญ่ไปยังสุมาตรา 2) ระเบียงเศรษฐกิจที่หก ปัตตานี/ยะลา/นราธิวาส – กลันตัน – สุมาตราใต้ ผ่านการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งใหม่สองแห่งเพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซียด้านตะวันออก 3) การเชื่อมโยงทางอากาศ 4) การเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ 5) การเชื่อมโยงโครงข่ายสารสนเทศและการสื่อสาร รองรับการค้ารูปแบบใหม่ทางดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ และ 6) การพัฒนาด้านการอำนวยความสะดวก โดยเร่งปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานได้สูงสุด และอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียม
ประการที่สาม การยกระดับห่วงโซ่คุณค่าในผลผลิตเกษตรสำคัญ เช่น ยาง ปาล์มน้ำมัน ประมงแปรรูปและผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาโดยเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เครือข่าย UNINET และสภาธุรกิจ สร้างอุปสงค์ในอนุภูมิภาคต่อผลผลิตเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าในระยะยาว เช่น การแปรรูปยางธรรมชาติโดยใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อใช้ภายในอนุภูมิภาคแทนการส่งออกเป็นวัตถุดิบ โดยการใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างอาคาร ถนน และเป็นส่วนประกอบยานพาหนะที่ใช้ไฟฟ้า (EV) ในอนาคต
ประการที่สี่ การต่อยอดการพัฒนาเมืองสีเขียวสู่การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนในหลายมิติ ให้เร็วกว่าเป้าหมายและคัดเลือกประเด็นความร่วมมือในเรื่องที่เร่งด่วน เช่น โครงข่ายการคมนาคมสีเขียวในเมืองภายใต้กรอบการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน และกระตุ้นความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนโดยปราศจากความเหลื่อมล้ำ
ประการสุดท้าย การเสริมสร้างบทบาทของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด (CMGF) ในการร่วมมือกับภาคีการพัฒนา UNINET สภาธุรกิจ IMT-GT และภาคประชาสังคม เพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อน IMT-GT ร่วมกัน โดยสำนักงาน CMGF และสภาธุรกิจ IMT-GT ของไทย พร้อมที่จะสนับสนุนทางเทคนิคและให้การปรึกษาหารือแก่อินโดนีเซียและมาเลเซียในเรื่องโครงสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างกันต่อไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า ด้วยความตระหนักร่วมกันในความสำคัญของแผนงาน และความร่วมมือร่วมใจในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ปี 2036 จากที่ได้พิจารณานำปัจจัยความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันมาปรับทิศทางความร่วมมือให้ทันต่อเหตุการณ์ ที่ประชุมฯ จะได้เห็นถึงความมั่นคงและผาสุกอย่างทั่วถึงแก่ประชาชนในสามประเทศ บนพื้นฐานของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ความร่วมมือในทุกมิติเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมและเป็นธรรม ซึ่งท้ายที่สุดจะสร้างผลประโยชน์ให้ประชาชนได้อย่างเป็นธรรม ทั่วถึง และบรรลุเป้าหมายของอาเซียนในการปราศจากความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน และไม่มีฝ่ายใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง