นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ตั้งข้อสังเกตุในกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับเรื่องไว้วินิจฉัยสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรณีถือหุ้นในกิจการสื่อจำนวน 32 ราย จากที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรยื่นมา 41 ราย แต่ไม่ได้มีคำสั่งให้ ส.ส.ทั้ง 32 คนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
นายปิยะบุตร กล่าวว่า เมื่อดูจากคำสั่งศาล เห็นว่า ศาลให้มาตรฐานว่าการยื่นครั้งนี้เป็นการยื่นจากการที่ส.ส.เข้าชื่อ ไม่ได้ผ่านการตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เหมือนกับกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แต่ว่าแม้กรณีของนายธนาธรจะผ่านคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงจากกกต. แต่ทาง กกต.ไม่ได้ให้สิทธิ์ผู้ที่ถูกกล่าวหาชี้แจงอย่างเพียงพอ
นอกจากนั้น คำสั่งศาลยังไม่ได้พิจารณาเพียงคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด หรือ แบบ บอจ. แต่จะพิจารณาจากแบบแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของห้างหุ้นส่วนบริษัทฯ (แบบ สสช.1) และแบบนำส่งงบการเงินของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทว่ามีรายได้จากการประกอบกิจการใด ซึ่งกรณีที่พรรคร้องไปยังศาลผ่านประธานสภาฯมีเพียงแต่แบบ บอจ. เท่านั้น ศาลจึงให้เหตุผลว่าไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัย จึงยังไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงถึงกรณีนายธนาธร โดยระบุในวรรคสุดท้ายของเอกสารคำสั่งศาล ว่า"ได้ผ่านการสอบสวนของ กกต.ซึ่งมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงมาก่อนยื่นคำร้อง โดยมีเอกสารประกอบคำร้อง เช่น แบบ สสช.1 ระบุสินค้าหรือบริการที่ประกอบการว่า ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ โรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือจำหน่าย ประกอบกับแบบนำส่งงบการเงิน" ถือเป็นสิ่งที่ศาลช่วยทำให้เกิดความกระจ่างชัดในเกณฑ์มาตรฐานที่ศาลจะใช้พิจารณา
"เรียนเผื่อท่านอื่นๆ ถ้าท่านจะร้องกันเองโดย ส.ส. ศาลจะไม่มีการไต่สวน ดังนั้นช่องทางต้องไปร้องที่ กกต.และให้ กกต.ส่ง เพราะฉะนั้นต้องจับตาดูว่าผมเข้าใจว่ามีบุคคลไปร้องที่ กกต.เต็มไปหมด ลองดูว่า กกต.จะทำการไต่ส่วนในระยะเวลาเพียงใด ยาวนานกว่าคดีคุณธนาธรหรือไม่ นอกจากนั้นถ้าจะเข้าชื่อร้องกัน ท่านต้องแนบแบบสสช. 1 และงบการเงินไปด้วย เรื่องนี้ศาลได้วางมาตรฐานให้เราแล้ว"นายปิยบุตร กล่าว
ส่วนกรณี ส.ส. 9 คนที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่าวัตถุประสงค์การประกอบกิจการไม่เกี่ยวข้องกับกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดนั้น ทางพรรคอนาคตใหม่ยื่นให้ศาลพิจารณา เนื่องจากได้ดูแนวทางการพิจารณาคดีของ กกต.ลพบุรี ได้รับเรื่องไว้ในลักษณะการถือหุ้นจากการประกอบกิจการการค้า ในด้านแบบเรียน เครื่องเขียน แต่เมื่อศาลมีคำวินิจฉัยจึงเห็นได้ชัดว่า ศาลจะพิจารณาจากวัตถุประสงค์การถือหุ้นในกิจการโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลัก