นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการที่ฝ่ายค้านโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กรณีที่อ้างว่ากล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนว่า ไม่ขอตอบ เนื่องจากเสร็จเรียบร้อยกระบวนการครบถ้วน และผ่านพ้นไปแล้ว ถือว่าทุกอย่างผ่านตามขั้นตอนแล้ว
สำหรับปฎิทินการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563 คาดว่าจะเข้าสู่สภาเดือน ต.ค.62 และอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมแต่สามารถขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญได้ ซึ่งคาดว่าประมาณกลางเดือน ม.ค.63 จะสามารถประกาศบังคับใช้ได้ แต่จะมีผลย้อนหลังมาวันที่ 1 ต.ค.62 โดยมีกรอบวงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท และระบุแหล่งที่มาของรายได้ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เตรียมมอบนโยบาย ข้อสั่งการและแนวทางปฏิบัติต่อหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน วันที่ 8 ส.ค.นี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี
ส่วนเรื่องการแบ่งงานของรองนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรีกำกับดูแลดีเอสไอจะมีผลต่อการพิจารณาคดีสำคัญหรือไม่นั้น นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มีผลใดๆ การกำกับดูแลไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีใดๆ ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะกำกับดีเอสไอด้วย เพราะเหมือนกับเป็นการทำงานคู่ขนานกัน และไม่ใช่เหตุผลของการไม่ไว้ใจฝ่ายการเมือง ทำให้นายกรัฐมนตรีลงมากำกับดีเอสไอด้วยตนเอง และเพื่อทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
นายวิษณุ ยังระบุถึงการที่ป.ป.ช.มาชี้แจงขั้นตอนการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในที่ประชุม ครม. โดยเห็นว่า แม้รัฐมนตรีเก่าจะไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินอีก แต่เพื่อความสบายใจ รัฐมนตรีเก่าทั้งหมดจะยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเช่นเดียวกับ ส.ส.ที่ลาออกมารับตำแหน่งทางการเมือง ก็ต้องแจงบัญชีทรัพย์สินในสถานะที่รับตำแหน่งนั้นๆ
นายวิษณุ ยังกล่าวถึง เงื่อนไขของกฏหมาย ที่ ส.ส. จะย้ายสังกัดพรรคการเมือง ว่า ไม่สามารถย้ายได้แต่หากเป็นสมาชิกพรรคสามารถย้ายได้ แต่ส.ส.ไม่สามารถทำได้ เพราะการย้ายพรรคก็ต้องลาออก ซึ่งการลาออกจากพรรคเท่ากับขาดสมาชิกภาพความเป็นส.ส.
ส่วนกรณีที่พรรคขับออก ก็สามารถออกไปหาพรรคใหม่สังกัดได้ กรณีพรรคถุกยุบก็มีสิทธิ์ไปหาพรรคสังกัดได้ภายใน 60 วัน แต่หากพรรคถูกยุบไม่สามารถควบรวมกับพรรคอื่นได้เช่นกัน