นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยังคงยืนยันที่จะอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติในประเด็นที่นายกรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ฯ ไม่ครบแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะลงมติไม่รับคำร้องว่า การอภิปรายจะต้องมีขอบเขต ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อบังคับการประชุม แต่หากมีการวิพากษ์วิจารณ์ความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ถือว่าไม่ได้อยู่ในข้อบังคับของสภา แต่อยู่ในกฎหมายวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้อภิปรายต้องระมัดระวัง และเมื่อเรื่องดังกล่าวบรรจุเป็นวาระแล้วก็เดินหน้าต่อไป ซึ่งสมาชิกรัฐสภาก็เสียโควตาตามสิทธิในการขอเปิดอภิปรายไปหนึ่งครั้ง เพราะญัตติตามมาตรานี้ได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น
นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนการชี้แจงการอภิปรายนั้น ไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีจะส่งใครไปชี้แจงแทน เพราะได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว และอย่าสงสัยในตัวนายกรัฐมนตรี เพราะไปชี้แจงแน่นอน แม้ในวันดังกล่าวจะมีภารกิจเป็นประธานการประชุมใหญ่ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับต่อไป แต่นายกรัฐมนตรีอาจจะไปร่วมในพิธีเปิดแล้วกลับมาประชุมที่รัฐสภา
สำหรับเวลาในการอภิปรายเพียงวันเดียวจะเพียงพอหรือไม่นั้น นายวิษณุ กล่าวว่า อยู่ที่คนถามมีมากน้อยเพียงใด รัฐบาลเป็นเพียงคนตอบและให้ความเห็น คำถามข้อใหญ่ คือการถวายสัตย์ปฏิญาณตน และแหล่งที่มาของรายได้ ซึ่งใน 2 ข้อใหญ่อาจมีแตกเป็นข้อย่อย และถึงเวลาอาจเบรคไม่อยู่ จึงเป็นเหตุผลที่ ครม.ต้องไปทั้งคณะ เพราะไม่รู้ว่าจะพาดพิงไปโดนใครบ้าง และส่วนใหญ่จะโดนคนที่ไม่ได้ไป
ส่วนเรื่องคดีของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภารัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อศาลฎีกายังไม่ได้อ่านคำพิพากษา โดยนัดอ่านวันที่ 31 ต.ค.62 ตำรวจไม่สามารถจับกุมตัวได้ แต่จะสามารถควบคุมตัวไปฟังคำพิพากษาได้ แต่หากศาลมีคำตัดสินในวันดังกล่าวว่า พ.ต.ท.ไวพจน์ มีความผิด ถึงจะพ้นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. และจะไม่ได้รับการคุ้มกัน เพราะเป็นการอ่านคำพิพากษา ไม่ใช่ช่วงต่อสู้คดี