นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เดินทางมาศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเวลา 08.30 น.วันนี้ ซึ่งศาลนัดไต่สวนพยาน 10 ปากในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธรสิ้นสุดลงหรือไม่กรณีการถือครองหุ้นในธรุกิจสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ระหว่างการลงสมัครรับเลือกตั้ง เหตุจากมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 2560 ขณะที่นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาและภรรยาของนายธนาธร เดินทางมาถึงศาลรัฐธรรมนูญก่อนตั้งแต่เวลา 07.40 น.
นายธนาธร กล่าวกับผู้สื่อข่าวแสดงความมั่นใจก่อนเข้าให้ปากคำต่อศาลว่า เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ในหลักฐาน โดยได้ส่งเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้ศาลหมดแล้ว
ทั้งนี้ นายธนาธร ได้นำรายละเอียดคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา, คำคัดค้านคำชี้แจง (กกต.), สารบัญหมายพยานเอกสาร (ศาลรัฐธรรมนูญ) เผยแพร่บนเฟซบุ๊ก
สำหรับพยานทั้ง 10 ปาก นอกเหนือจากนายธนาธร, นางสมพร และ นางรวิพรรณ ยังมี นายปิติ และ นายทวี จรุงสถิตย์พงศ์ หลานชายนางสมพร, น.ส.ลาวัลย์ จันทร์เกษม และ น.ส.กานต์ฐิตา อ่วมขำ พนักงาน บริษัท วี-ลัคมีเดีย จำกัด, นายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนายความ , นายพิพัฒพงศ์ รุจิตานนท์ ทนายความ และนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถของนายธนาธร
สำหรับบรรยากาศที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญช่วงเช้าเป็นไปอย่างคึกคักจากบรรดาผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศมาร่วมทำข่าวการไต่สวนครั้งนี้ ขณะที่พื้นที่โดยรอบสำนักงานฯ ให้มีการเข้าออกเพียงทางเดียวเพื่อรักษาความปลอดภัย และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่บก.น.2 จำนวน 40 นายดูแลความเรียบร้อย ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มผู้สนับสนุนนายธนาธร เดินทางมาให้กำลังใจด้วย
ทั้งนี้ กระบวนการไต่สวนพยานปากแรก คือ นายธนาธร นั้นใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง โดยนายจรัล ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ซักถามถึงราคาหุ้นวี-ลัค มีเดีย ซึ่งนายธนาธร ระบุว่าซื้อ-ขายกันในราคาพาร์ และเมื่อตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมืองช่วงไตรมาส 4/60 ก็ได้ตัดสินใจเริ่มทยอยโอนหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดมาตั้งแต่เดือน พ.ค.61 แต่จำไม่ได้ว่าโอนหุ้นตัวไหน เมื่อใด เพราะหลังจากลงนามแล้วจะมีตัวแทนดำเนินการด้านธุรการให้ และไม่เคยตรวจสอบว่าเอกสารธุรการเสร็จเรียบร้อยหรือไม่
นายธนาธร ชี้แจงว่า การเข้าไปลงทุนในบริษัท วี-ลัค มีเดีย เป็นไปตามคำชักชวนของมารดา และไม่ได้เข้ายุ่งเกี่ยวกับการบริหาร ซึ่งจำไม่ได้ว่าวางแผนหาเสียงเลือกตั้งก่อน หรือโอนหุ้นก่อน แต่ในวันที่ 8 ม.ค.62 ได้เดินทางด้วยรถตู้จากจังหวัดบุรีรัมย์เมื่อเวลา 11.00 น.และนอนหลับมาตลอดทาง โดยมาถึงที่นัดหมายประมาณ 16.00 น.หลังจากนั้นได้ดำเนินการเซ็นโอนหุ้นวี-ลัค มีเดีย
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้สอบถามถึงหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ในระหว่างเดินทาง ซึ่งแต่หมายเลขไม่ตรงกับที่แจ้งไว้กับศาล โดยนายธนาธรจำไม่ได้ว่าได้โทรหาใครหรือมีใครโทรมาหาหรือไม่
นอกจากนั้น นายธนาธร ยังให้การว่า จำไม่ได้ว่าช่วงดังกล่าวได้เดินทางไปที่ใดบ้าง เพราะมีโปรแกรมเดินสายหาเสียงถี่มาก บางวันต้องเดินทางไปถึงวันละ 5 จังหวัด และจำไม่ได้ว่าวันที่ 8 ม.ค.62 เดินทางไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ด้วยรถยนต์หรือเครื่องบิน
ส่วนการดูแลเรื่องเงินนั้น ได้มอบหมายให้ภรรยาดูแลทั้งหมด ในกรณีนี้จึงไม่ทราบว่ามีเช็คค่าหุ้นของวี-ลัคมีเดียเมื่อเดือน พ.ค.62 เพราะครอบครัวไม่มีปัญหาเดือดร้อนเรื่องเงิน สำหรับ วี-ลัคมีเดีย ก็ได้ปิดกิจการไปเมื่อเดือน พ.ย.61 และไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บริหาร เพราะไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย
ขณะที่ตัวแทน กกต.ได้สอบถามนายธนาธรเกี่ยวกับการดำเนินการของ วี-ลัค มีเดีย ซึ่งนายธนาธร กล่าวว่า แม้ที่ประชุมมีมติปิดการแล้วและได้ทยอยดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่ที่ยังมีการผลิตสื่อนั้นเป็นไปตามสัญญาที่ทำไว้ก่อนหน้านั้นและยังมีผลอยู่
นายธนาธร ยังกล่าวต่อศาลฯ ว่า ตั้งใจเข้ามาทำงานการเมืองโดยไม่ได้หวังผลประโยชน์ และใช้มาตรฐานนักการเมืองตะวันตก โดยหากศาลตัดสินเป็นคุณก็จะดำเนินการโอนหุ้นให้ blind trust ทันทีตามที่เคยประกาศไว้ ซึ่งตุลาการฯ ชี้แจงว่าจะให้เวลานายธนาธรต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
จากนั้นตุลาการฯ ได้ไต่สวน ทนายความของนายธนาธร ซึ่งเป็นผู้จัดเตรียมเอกสารการโอนหุ้นวี-ลัคมีเดีย หลังจากได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมเอกสารล่วงหน้าราว 1 สัปดาห์ และเมื่อวันที่ 8 ม.ค.62 เดินทางไปถึงบ้านนายธนาธรราว 16.00 น.ก่อนเวลานัดหมายจริง 18.00 น.ระหว่างรอก็จัดเตรียมเอกสารและตรวจสอบความเรียบร้อย ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ติดต่อกับใคร หลังจากนั้นก็ได้มีการเซ็นโอนหุ้นและนางสมพรได้มอบเช็คค่าหุ้นให้นายธนาธร
สำหรับการลงบันทึกในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นนั้นได้ดำเนินการทันที แต่ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการแจ้งต่อนายทะเบียน