นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังหารือกับนายไมเคิล ฮีธ อุปทูต รักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งครั้งแรกว่า ได้มีโอกาสพูดคุยประเด็นที่สหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากร (GSP) สินค้าไทยซึ่งทางอุปทูตสหรัฐฯ ยืนยันว่ายังไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้าย (final) ดังนั้นตนเองเห็นว่าน่าจะยังสามารถเจรจาพูดคุยกันได้ เพราะทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน จึงจะใช้โอกาสที่เจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีของสหรัฐฯ มาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนหารือกับนายกรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป อีกทั้งเห็นว่าเรื่องนี้ต้องให้ทางกระทรวงพาณิชย์หารือกับสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR)
นายสมคิด ยืนยันว่า สิ่งที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยปฏิบัตินั้น ทางการไทยได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องของแรงงานที่พยายามมาพอสมควร แต่ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ตาม ในการพูดคุยครั้งนี้ ไม่ได้หยิบยกประเด็นปัญหาแรงงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สหรัฐตัดสิทธิ GSP ไทย มาหารือกันแต่อย่างใด การพูดคุยกันเฉพาะเรื่องความร่วมมือในอนาคตเท่านั้น
นอกจากนี้ อุปทูตสหรัฐฯ ได้สอบถามถึงเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) และตนเองได้เชิญให้ทางสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนด้วย
ทั้งนี้ ทางสหรัฐฯ ยืนยันว่าต้องการมาลงทุนในประเทศไทย และก่อนหน้านี้ได้ลงพื้นที่ EEC และพูดคุยกับนักลงทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการมาลงทุนในประเทศไทย ทั้งสิ้น
"เป็นเหตุผลของทางฝ่ายเขา เรื่องเหล่านี้ยังไม่ final คงต้องเจรจากันต่อไป ถ้าเจรจารู้เรื่องมันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร เพราะจริงๆไทยเลยเวลาเป็น GSP มานานแล้ว GSP มีไว้สำหรับประเทศด้อยพัฒนา เป็นความช่วยเหลือมาแต่ดั้งเดิม ผมบอกเขาว่า มาถึงจุดนี้แล้วไทยพัฒนาแล้วล่ะ แต่การเป็นเพื่อนเก่ากัน เก็บไว้ก่อนจะรีบร้อนไปทำไม" นายสมคิด กล่าว
ส่วนข้อห่วงใยจากสหรัฐเรื่องการยกเลิกใช้ 3 สารเคมีทางการเกษตรของไทยนั้น นายสมคิด ระบุว่า ไม่ได้หารือเรื่องนี้เพราะเป็นหน้าที่ของกระทรวงที่จะไปหารือ พร้อมทั้งยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศมาเกี่ยวข้อง