นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ อภิปรายในวันนี้หลังจากเสนอญัตติด่วนขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44
นายปิยะบุตร กล่าวว่า คสช.ใช้มาตรการทางกฎหมายมากมายเพื่อจุดประสงค์ 3 ประการ ได้แก่ 1.เพื่อแปลงความต้องการ คสช. ให้เป็นกฎหมาย โดยเฉพาะในช่วงที่ใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่คสช.แต่งตั้งเป็นผู้ตราเป็นพระราชบัญญัติ 2.เพื่อบังคับใช้บอกว่าทุกสิ่งที่ทำเป็นไปตามกฎหมาย โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงเอากฎหมายมาห่อหุ้มปืน และ 3.เพื่อใช้กฎหมายอย่างบิดผันไม่สุจริต
สาเหตุที่ คสช. ซึ่งมีกำลังอาวุธแต่เลือกใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ เพราะการใช้กฎหมายสร้างความแน่นอนชัดเจนกว่า และสื่อถึงประชาชนรู้ทำอะไรได้บ้าง ทำแล้วจะโดนอะไร รวมถึงเป็นการจัดระเบียบผู้ใต้บังคับบัญชาให้รับรู้ว่าอำนาจสูงสุดอยู่ คสช. นอกจากนั้นยังทำให้อำนาจแบบ คสช. ดูนิ่มนวล ทั้งที่เนื้อแท้ที่ดูหน้าเกลียดน่ากลัว
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ก่อนที่ คสช.จะสิ้นสภาพได้ทิ้งทวนด้วยการออกคำสั่ง 9/2562 ยกเลิกคำสั่งรวมแล้ว 78 ฉบับ แต่ยังมีเรื่องที่ยังไม่ยกเลิก และหลายเรื่องกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชน และก็มีที่แอบฝังใน พ.ร.บ.ที่เป็นกฎหมายปกติ และเหล่านี้ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่ามรดกบาประบบ คสช. ได้แก่
1.ประเทศไทยมีระบบกฎหมาย 2 ระบบคู่กันโดยที่ไม่รู้ตัว นั่นคือระบบกฎหมายปกติ กับประกาศคำสั่ง คสช.ที่ได้รับยกเว้น รับรองว่าถูกเสมอไม่มีวันขัดรัฐธรรมนูญ และ 2.ประเทศไทยกลายเป็นรัฐทหาร ด้วยกระบวนการที่ทำให้ทหารมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องตั้ง กมธ.เพื่อศึกษาและพิจารณาว่าประกาศฉบับใดดีก็ควรแปรให้ถูกต้องในระบบ ส่วนฉบับที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนก็จะต้องยกเลิก เยียวยาผู้เสียหาย โดยอยากให้ ส.ส.รัฐบาลให้คิดทบทวนว่าหลังรัฐประหาร 2557 เจออะไรมาบ้าง วันนี้หลายคนเข้ามาเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และที่สำคัญคือ รัฐประหารสร้างผลกระทบต่อประชาชนอย่างมากมาย
"มีสุภาษิตเกี่ยวกับกฎหมายบทหนึ่งแปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า เมื่อเสียงปืนดังขึ้น กฎหมายก็เงียบลง แต่ละวันนี้เสียงปืนเริ่มเงียบลงแล้ว กฎหมายควรส่งเสียง"นายปิยบุตร กล่าว