ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ในคดีธนาคารกรุงไทย (KTB) ปล่อยเงินกู้ให้กลุ่มกฤษดามหานคร เนื่องจากพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอ รวมทั้งจำนวนเงินในเช็คที่ระบุว่ามีการฟอกเงินมูลค่า 10 ล้านบาทคิดเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับทรัพย์สินของจำเลย และคิดเป็นส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับวงเงินกู้ทั้งหมด
คดีดังกล่าวสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพานทองแท้เมื่อวันที่ 10 ต.ค.61 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9 และ 60, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฉบับที่ 5 พ.ศ.2558 มาตรา 10, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 จากกรณีร่วมรับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่าง KTB กับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานครที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่าผู้บริหาร KTB นายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหาร บมจ.กฤษดามหานคร (KMC) และบุตรชายมีความผิดฐานทุจริต
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.47 นายวิชัย ในฐานะผู้บริหาร KMC ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 10 ล้านบาทให้นายพานทองแท้ โดยนายพานทองแท้ได้นำเช็คเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีตัวเองระหว่างวันที่ 24-26 พ.ค.47 และนายพานทองแท้ได้กดเงินจากตู้เอทีเอ็มครั้งละ 5,000-20,000 บาท รวม 11 ครั้ง และวันที่ 2 ธ.ค.47 ได้สั่งจ่ายเช็ค 14.7 ล้านบาท นายพานทองแท้ถอนเงินออกจากบัญชีกระแสรายวัน ซึ่งนายพานทองแท้ต่อสู้ว่าเงินดังกล่าวเพื่อร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้ารถยนต์ซูปเปอร์คาร์กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชายของนายวิขัย
ศาลพิจารณาพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า การทำธุรกรรมทางการเงินของนายพานทองแท้เป็นไปตามปกติ เปิดเผยและสามารถตรวจสอบได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่เองยังไม่แน่ใจว่านายวิชัยทำผิดหรือไม่ จึงเป็นเรื่องยากที่นายพานทองแท้จะรู้ที่มาของเงินจำนวนดังกล่าวว่ามาจากการปล่อยกู้โดยทุจริต
"ยังฟังไม่ได้ว่ารู้ว่าเงินดังกล่าวได้มาจากการกระทำความผิด...คดียังฟังไม่ได้ว่าสมคบฟอกเงิน" คำพิพากษาศาล ระบุ
ทั้งนี้ ศาลฯ เห็นว่าพยานหลักฐานที่แสดงความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนสนิทระหว่างนายพานทองแท้กับนายรัชฎายังไม่ลึกซึ้ง ขณะที่นายพานมองแท้ขณะนั้นอายุ 26 ปี มีสินทรัพย์เป็นหุ้นมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับเงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็น 0.0025% และคิดเป็น 0.001% เมื่อเทียบกับยอดสินเชื่อทั้งหมดกว่า 1 หมื่นล้านบาท