ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เตรียมเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ส.ส.อดีตลูกพรรคอนาคตใหม่ ต่อ สภ.เมืองพะเยา จ.พะเยา ในหลายคดี กรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจตนเองว่าขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง ส.ส.และรัฐมนตรีทั้งในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และแถลงข่าวนอกห้องประชุมอย่างต่อเนื่อง
"ผมได้ทำอย่างเต็มที่ หลังจากนี้ ส.ส.จะลงมติไว้วางใจเกิน 250 เสียงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ ส.ส.ต้องพิจารณา" ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าตนเองเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลและอาจถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง เพราะเข้ามาเป็นนักการเมืองเพื่อทำประโยชน์ให้ประเทศและประชาชน จะถูกปรับออกจาก ครม.หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะเป็นผู้พิจารณา
"ลูกผู้ชายอย่างผมพร้อมเผชิญหน้ากับทุกปัญหา ไม่มีแทงลับหลังใคร หากวันนี้เจอหน้า ส.ส.ที่อภิปรายจะบอกว่าผมไม่ได้โกรธ แต่เรื่องนี้เป็นเวทีการเมืองอย่าเล่นการเมืองมากเกินไป ขณะที่ผมทำงานการเมืองไม่ใช่เล่นการเมือง ที่ผ่านมาผมลงพื้นที่กว่า 111 ครั้ง" ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
ส่วนกรณีที่ ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ ออกมาแฉคลิปรายวันนั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นเรื่องของเขา แต่ล่าสุดคลิปที่เปิดเผยเริ่มเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว ดังนั้นต้องถามถึงจริยธรรมของนักการเมือง
ร.อ.ธรรมมนัส กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดต่อทางทาม ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เพราะขณะนี้รัฐบาลมี 270-280 เสียงแล้ว ไม่จำเป็นทำเรื่องแบบนั้นอีก และมองข้ามไปยังการเลือกตั้งใน 3 ปีข้างหน้าแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส ถึงคุณสมบัติต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 เนื่องจากต้องคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย พิพากษาจำคุก 6 ปี และ 4 ปี พร้อมเนรเทศกลับประเทศฐานความผิดนำเข้าและค้ายาเสพติด ซึ่งมีหลักฐาน ร.อ.ธรรมนัส ยอมรับว่าได้ขนยาเสพติดเข้าประเทศออสเตรเลียจริงโดยไม่มีพรีบาร์เกน ซึ่งขัดแย้งกับที่ได้เคยชี้แจงต่อสภาฯ และคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบว่ามีกระบวนการพรีบาร์เกนและไม่เคยถูกจำคุก
นายธีรัจชัย ระบุว่า การที่ ร.อ.ธรรมนัส อ้างว่าผ่านการล้างมลทินและนิรโทษกรรมแล้วนั้นสามารถทำได้เฉพาะในความผิดที่เกิดในประเทศไทย แต่ไม่สามารถก้าวล่วงไปถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ