พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่ ส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้พรรคถอนตัวร่วมรัฐบาลเพื่อกดดันให้ปรับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ หลังจากมีคนใกล้ชิดพัวพันขบวนการกัดตุนหน้ากากอนามัยว่า "อยากถอนก็ถอนไปสิ"
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวให้ไปสอบถามความเห็นจากทางพรรคประชาธิปัตย์เอาเอง
อย่างไรก็ตาม สำหรับปัญหาการกักตุนหน้ากากอนามัยนั้น ขณะนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบโรงงานทุกแห่งแล้ว และสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการดำเนินการไปตามขั้นตอนยังไม่แล้วเสร็จ
ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าเตรียมยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าวว่า ยืนยันจะคงทำหน้าที่ต่อไปเพื่อพิสูจน์ความจริง ซึ่งความจริงใกล้จะปรากฏแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องดังกล่าว
ร.อ.ธรรมนัส ยังขอร้องให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างระมัดระวังและนำเสนอข้อเท็จจริง พร้อมช่วยกันกระชากหน้ากากว่าใครอยู่เบื้องหลังเพจที่ออกมาแฉเรื่องการกักตุนหน้ากาก เพราะขณะนี้มีข้อมูลแล้วและจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ขยายผล ขณะที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ข่าวการการกักตุนหน้ากากอนามัยไม่มีมูลความจริง ดังนั้น กระบวนการทั้งหมดจึงเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตนเอง โดยมีนักการเมืองบางคนอยู่เบื้องหลัง
ส่วนกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งนั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในพรรคที่สามารถพูดคุยกันได้ ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์กดดันให้ปลดโดยขู่ว่าจะทบทวนบทบาทพรรคร่วมรัฐบาลว่า ไม่ขอก้าวล่วง เพราะถือเป็นเรื่องภายในของพรรคประชาธิปัตย์
ร.อ.ธรรมนัส ยังเปิดเผยความคืบหน้าการตั้งกรรมการสอบ นายพิตตินันท์ รักเอียด คณะทำงานฯ ที่มีชื่อเข้าไปพัวพันเรื่องนี้ว่า ได้ไล่ออกจากตำแหน่งแล้ว
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า การพิจารณาและตัดสินใจเรื่องปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ได้รับทราบสถานการณ์ทุกอย่างแล้ว ขณะที่แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลก็ควรมีการพูดคุยกันเองและพิจารณาเฉพาะรัฐมนตรีในพรรคของตนเอง ไม่ควรก้าวก่ายข้ามพรรค ต้องคำนึงถึงเรื่องมารยาทและความเหมาะสม
ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ระบุว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการกักตุนหน้ากากอนามัยมากถึง 200 ล้านชิ้น เพราะกำลังผลิตในประเทศมีจำกัด แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายลงเพราะถูกซ้ำเติมจากกระแสโซเชียล