น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการที่รัฐบาลขยายเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ออกไปอีก 1 เดือนว่า แม้พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยแต่คงแก้ไขอะไรไม่ได้ เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี (ครม.)
แต่พรรคฯ เห็นว่าเมื่อรัฐบาลสามารถใช้มาตรการทางสาธารณสุขควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้แล้ว ก็ควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อแทน เนื่องจากสามารถกำกับดูแลและควบคุมสถานการณ์ต่างๆที่จำเป็นในเวลานี้ได้เหมือนกัน แต่การต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปอีก จึงถูกสังคมตั้งคำถามว่า รัฐบาลอยากได้อำนาจอื่นๆที่ไม่จำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาโควิดมาใช้ด้วยใช่หรือไม่
"ผมอยากให้รัฐบาลลองฟัง นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการของสหประชาชาติ (UN) ที่กล่าวเปิดรายงานนโยบายว่าด้วยความสำคัญของสิทธิมนุษยชนในการรับมือกับโรคระบาดใหญ่ว่า การใช้มาตรการต่างๆที่อ้างถึงวิกฤติด้านสาธารณสุขโดยไม่เกี่ยวกับโรคระบาดเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ รัฐบาลต่างๆ จำเป็นต้องแสดงความโปร่งใส รับมือเหตุการต่างๆอย่างแข็งขัน และแสดงความรับผิดชอบมากขึ้น โดยพื้นที่ประชาสังคมและเสรีภาพสื่อเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และไม่ว่าเราจะทำอะไรจงอย่าลืมว่าภัยของเราคือไวรัสไม่ใช่ผู้คน ดังนั้นการประกาศภาวะฉุกเฉินต่างๆ ต้องใช้เพื่อมาตรการทางสาธารณสุข ที่มีเป้าหมายและระยะเวลาที่ชัดเจนโดยก้าวก่ายประชาชนให้น้อยที่สุด"
ขณะที่ Michelle Bachelet ข้าหลวงใหญ่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ได้แสดงความเป็นห่วงการที่รัฐบาลหลายประเทศนำการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งเป็นมาตรการรุนแรง มาใช้เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้วทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อประชาชน
ดังนั้น พรรคเพื่อไทย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯครั้งนี้ รัฐบาลจะใช้อำนาจอย่างตรงไปตรงมาเพื่อรับมือกับภาวะฉุกเฉินอย่างสมดุลและเหมาะสม ควบคู่ไปกับการปกป้องสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม โดยมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก