น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวในการอภิปรายต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาพ.ร.ก. กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อใช้เยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม จากปัญหาโควิด-19 ว่า การเยียวยาให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ผานมายังเกิดความล่าช้า ไม่รวดเร็วเหมือนช่วงที่ดำเนินโครงการชิมช้อปใช้ โดยมีการกำหนดเงื่อนไขที่ยุ่งยากจนทำให้เกิดภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต
อีกทั้งสิ่งที่กังวลคือความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณจากเงินกู้ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร เพราะรัฐบาลยังไม่มีแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่มีความพร้อมและไม่มีความชัดเจน โดยมอบหมายให้แต่ละกระทรวงกลับไปหยิบเอาโครงการเก่ามาปัดฝุ่น ทั้งที่โครงการเหล่านั้นไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงสถานการณ์ปกติ แต่รัฐบาลกลับจะนำมาดำเนินการในช่วงที่สถานการณ์ไม่ปกติแล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร
นอกจากนี้ มองว่า รัฐบาลไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก เพราะจะปิดกั้นโอกาสในการทำมาหากินของประชาชน เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว และหากประกาศใช้ยืดเยื้อยาวนานไปจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนรุนแรงมากไปกว่าการติดไวรัสโควิด-19 เสียอีก
สำหรับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน น.ส.จิราพร กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการบริหารผิดพลาดของรัฐบาลที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศอ่อนแอและเปราะบาง เพราะหากย้อนไปดูข้อมูลทางเศรษฐกิจในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 62 ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟุบตัว โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียง 2.4% เฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 62 ที่มีอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส
"รัฐบาลจะมาอ้างว่าเศรษฐกิจของประเทศทรุดเพราะวิกฤตโควิด-19 เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้" น.ส.จิราพร กล่าว