นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ กล่าวในการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 62 รัฐบาลไม่ได้เตรียมความพร้อมเท่าที่ควรเพื่อแก้ไขปัญหา ทำให้ประชาชนต้องช่วยเหลือกันเอง ซึ่งมองว่าเป็นเพราะวิสัยทัศน์การบริหารและแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไม่ชัดเจน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนพร้อมกับตั้งคำถามว่าประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่ประเทศจะต้องมีการกู้เงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ส่วนกรณีที่รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้น ไม่ทราบว่าใช้จากงบประมาณปี 2563 จำนวนเท่าใด และเห็นว่าคงเป็นรัฐบาลเดียวที่ทำโครงการแจกเงินแล้วถูกตำหนิ เพราะไปเชื่อทฤษฎีฝรั่ง คือ โครงการ "ชิมช้อปใช้" ซึ่งเป็นการเอาเงินของรัฐบาลไปใส่กระเป๋าเจ้าสัว นอกจากนี้ งบกลางในรายงานเงินทดรองฉุกเฉินอีก 5 แสนล้านบาทก็ยังถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 เดือนจนต้องมีการขอกู้เงินเพิ่ม ซึ่งเรื่องนี้จะต้องถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
"ฝีมือทีมบริหารเศรษฐกิจห่วยแตก เพราะงบกลางที่ใช้ฉุกเฉิน 5 แสนล้านบาทนั้นถูกใช้ไปหมด และต้องขอกู้เงินอีก เรื่องนี้ต้องถูกจับตาแบบถึงไหนถึงกัน เพราะใช้เงินจำนวนมาก และจะใช้เงินกู้เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอีก ผมเชื่อว่าการจ่ายเงินจากส่วนกลาง แทนการใช้องค์กรท้องถิ่นดำเนินการที่รู้สภาพปัญหา อาจมีทุจริตเกิดขึ้นแน่" นายมิ่งขวัญกล่าว
พร้อมระบุว่า หากตนเป็นฝ่ายบริหาร จะให้หยุด พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 และ พ.ร.ก.รักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงินรวม 9 แสนล้านบาทไว้ก่อน และให้ดำเนินการเฉพาะ พ.ร.ก.กู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันต้องสนับสนุนการตรวจสอบการใช้เงินผ่านสภาผู้แทนราษฎรด้วย
"เงินกู้ต้องทำให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด ถ้าเป็นได้ขอให้ไปทบทวน เอาเงินไปให้สาธารณสุขพัฒนาระบบแพทย์สาธารณสุขดีกว่า...ขอให้ตั้ง กมธ.ตรวจสอบการใช้เงินกู้ หวังว่าเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทนี้ จะไม่เปิดโอกาสให้เกิดทุจริต ขอสักครั้ง ให้คนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์สูงสุด" นายมิ่งขวัญกล่าว