นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แกนนำกลุ่มสามมิตร และส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า การลาออกของกรรมการบริหารพรรคทั้ง 18 คนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารของพรรคใหม่ ซึ่งจะเป็นการปรับพื้นฐานของพรรคให้มีความหนักแน่น มั่นคงมากขึ้น เพื่อนำพาพรรคไปสู่การเป็นเสาหลักที่มั่นคงของประเทศ และมีความยืดหยุ่นสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะเชื่อมโยงไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในอนาคต
"แน่นอนอาจเป็นเช่นนั้น เพราะโครงสร้างของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้แบ่งโควตากระทรวงต่าง ๆ ให้แต่ละพรรคการเมือง ซึ่งพรรคเหล่านั้นต้องไปดูแต่ละกระทรวงให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แต่บางส่วนที่ไม่อาจตอบสนองประชาชนได้ ต้องอาศัยโควตากลางที่มีอยู่ ขอเรียนว่าผมดีกับทุกคน ไม่เป็นปัญหาอะไร ภายในพรรคไม่ได้เกิดการทะเลาะ แต่การปรับเปลี่ยนเพราะต้องการให้เกิดความกระฉับกระเฉง และขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1 ปัญหาทั้งหมดจะจบลงด้วยการนำนโยบายที่ดีไปปฏิบัติ"นายสมศักดิ์ กล่าวตอบผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคจะถูกโยงกับการปรับครม.หรือไม่
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การปรับโครงสร้างทางการเมือง ไม่ได้หมายความว่าผู้บริหารเดิมจะไม่สามารถกลับมาได้อีก บุคคลที่เข้าใจชาวบ้าน เข้าใจชาวชนบท เข้าใจ ส.ส. ย่อมได้รับคะแนนนิยมในพรรค ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ก็สามารถกลับเข้ามาเป็นผู้บริหารสูงสุดของพรรคได้อีกเช่นกัน
ส่วนการที่มีหลายกลุ่มสนับสนุนให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น เห็นว่า การปรับโครงสร้างของพรรคทุกคนมีโอกาสเข้ามาทำงานใหม่ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง และใครที่เข้าใจและนำเสนอในส่วนที่สามารถตอบสนองให้กับประชาชนและประเทศชาติ คนนั้นก็จะได้รับการยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นพล.อ.ประวิตร หรือใครก็ตามเป็นไปได้ทั้งนั้น
โดยขณะนี้ตนกำลังพิจารณาว่าบุคคลใดที่ตอบสนองความต้องการของสังคมและพี่น้องประชาชนในประเทศได้ดี ซึ่งพล.อ.ประวิตรก็มีจุดแข็งในการที่จะนำนโยบายของพรรคไปนำเสนอให้รัฐบาล อาจเป็นสายที่จะสัมพันธ์และมีการสื่อสารที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหา ส่วนที่บางฝ่ายกังวลถึงจุดอ่อนของพล.อ.ประวิตร ที่อาจถูกมองว่าเป็นรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น เห็นว่าการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมาชิกพรรคที่เป็นส.ส.เพียงอย่างเดียว อาจมีตัวแทนพรรคในระดับจังหวัด ตัวแทนสาขาพรรค ส.ส. และพี่น้องประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรคมาเลือก ดังนั้น การเลือกจึงอยู่ที่คนส่วนร่วม ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
"ส่วนตัวพล.อ.ประวิตรมีจุดแข็งหลายจุด วันนี้อาจจะไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ตามใจทั้งหมด เพราะไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดว่าสมาชิกคงมีการกลั่นกรองในวันเลือกตั้งได้...ดูแล้วพล.อ.ประวิตรไม่ได้อยากเป็น ถ้าจะเป็นก็เพราะสมาชิกร้องขอมากกว่า ถ้าคนไม่อยากเป็น แต่จำเป็นต้องเป็นก็คงไม่อยู่ถึง 5 ปี เป็นเรื่องที่เราจินตนาการกันไป ท่านอาจเป็นเพื่อสร้างบรรทัดฐานอะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าทุกอย่างคงไม่ได้สมหวังร้อยเปอร์เซ็นต์ อะไรที่เป็นส่วนดีมากกว่า อย่าไปคิดว่าทุกอย่างดีเลิศร้อยเปอร์เซ็นต์"นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับที่มีการวิเคราะห์ว่านายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท จะขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่นั้น ก็เป็นตัวเลือกหนึ่ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของสมาชิกทั้งหมดด้วย
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตน และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้ผู้บริหารของพรรคต้องเลือกไปตามแนวทางหรือแนวนโยบายที่คิดหรือดำเนินการ ซึ่งมองว่าประชาชนเป็นเป้าหมายที่ตนปรารถนาต้องการให้มีความสุข ขณะที่การปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นขณะนี้ทำให้บางกลุ่มในพรรคไม่พอใจ อาจจะไปตั้งพรรคใหม่นั้น อาจจะไม่ใช่เวลาเหมาะสมเพราะรัฐบาลปฏิบัติงานมาแล้ว 1 ปี ดังนั้น กว่าจะเลือกตั้งก็อีก 3 ปี เพราะรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าจะอยู่ครบ 4 ปี เนื่องจากกระแสความนิยมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่สามารถชี้แจงและตอบถึงปัญหาของประชาชนและส.ส.ในสภาฯได้ดีที่สุด รวมถึงเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ขยันที่สุดตั้งแต่ตนได้ทำงานการเมืองมา
ทั้งนี้ ขอฝากสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐ ให้หยุดกระทำในสิ่งที่อาจจะทำให้สังคมเข้าใจผิด ทั้งจากการสัมภาษณ์ พูดคุย หรือสร้างเครื่องมือการสื่อสารทางสังคมซึ่งอาจทำลายข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือบ้านเมือง และอาจจะเป็นการทำลายพรรคในทางอ้อม ซึ่งโดยปกติแล้ว ส.ส. ของพรรคจะมีข้อมูลของประชาชนในพื้นที่อยู่มากแล้ว ก็สามารถใช้โอกาสนี้ไปรับฟังเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่มีอยู่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน อย่างไร แล้วนำกลับมาช่วยกันสร้างนโยบายพรรคที่ส่งผลดีต่อประชาชนอย่างแท้จริง ในห้วงเวลาของการปรับเปลี่ยนผู้บริหารนี้ ก็จะทำให้ได้นโยบายเก่าผสมใหม่ที่ดีถูกใจพี่น้องประชาชน