นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ บมจ. มติชน (MATI) และนายฐากูร บุนปาน บมจ.สยามสปอร์ต ซินดิเคท (SPORT) และนายระวิ โหลทอง มีมูลความผิดทางอาญา กรณีเมื่อปี พ.ศ.2556 ได้อนุมัติและดำเนิน "โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020" โดยมิชอบ เป็นการใช้งบประมาณ 240 ล้านบาทเกิดความสูญเปล่า เป็นเหตุให้ราชการได้รับความเสียหาย
ป.ช.ป.ระบุว่า การกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ , นายนิวัฒน์ธำรง และนายสุรนันทน์ มีมูลความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554, มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 และ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และ 13
ส่วนการกระทำของ บมจ.มติชน และนายฐากูร, บมจ.สยามสปอร์ต ซินดิเคท และนายระวิ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561, มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และ มาตรา 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
ทั้งนี้ ป.ป.ช.มีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นพร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์, นายนิวัฒน์ธำรง, นายสุรนันทน์, บมจ. มติชน, นายฐากูร, บมจ. สยามสปอร์ต ซินดิเคท และนายระวิ
ป.ช.ช.ระบุว่าจากการสอบสวนพบว่า เมื่อครั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติยกร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ (ร่างพ.ร.บ.สองล้านล้านบาท) และมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำร่างพ.ร.บ.สองล้านล้านบาท อีกทั้งเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมจัดนิทรรศการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการโครงการจัดนิทรรศการไปแล้วทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานคร หนองคาย นครราชสีมา และพิษณุโลก
ต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดนิทรรศการ การสัมมนา และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ภายใต้ชื่อ"โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020"โดยมีนายฐากูร ในฐานะกรรมการผู้จัดการทั่วไป บมจ.มติชน และตัวแทนบมจ.สยามสปอร์ต ซินดิเคท ตกลงเป็นผู้รับจัดงานใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ จังหวัดละ 20 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 240 ล้านบาท โดยมีมติชน เป็นแม่งานหลัก ทั้งที่ยังไม่มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ และเมื่อตรวจสอบงบประมาณปี 2556 ก็ไม่ได้ระบุแผนงาน/โครงการดังกล่าวไว้
ประกอบกับงบประมาณประจำปี 2557 ประกาศใช้ไม่ทันวันที่ 1 ต.ค.56 แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อนุมัติงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น วงเงิน 40 ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจัด Roadshow และให้จัดโครงการใน 2 จังหวัดก่อน ได้แก่ หนองคาย และ นครราชสีมา ทั้งที่หลายฝ่ายออกมาทักท้วงว่า ร่างพ.ร.บ.สองล้านล้านบาท อาจขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และมีการเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อีกทั้งการจัดงานดังกล่าวยังซ้ำซ้อนกับงานนิทรรศการที่กระทรวงคมนาคมจัดไปก่อนแล้ว ประกอบกับไม่ปรากฎข้อเท็จจริงใดว่าหากไม่ดำเนินโครงการในขณะนั้นแล้ว ราชการหรือประชาชนจะได้รับความเสียหาย จึงไม่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนที่จะออกไป Roadshow
ต่อมานายสุรนันทน์ ได้เห็นชอบราคากลางโครงการ Roadshow จังหวัดหนองคายและนครราชสีมา ในวงเงิน 40 ล้านบาท ซึ่งตรงกับข้อเสนอด้านราคาของ บมจ.มติชน ได้ยื่นไว้ต่อผู้อำนวยการสำนักบริหารกลางและได้มีการสืบราคาเพิ่มเติมจากสื่อ 3 ราย แต่เป็นสื่อในเครือเดียวกับมติชนทั้งสิ้น และในวันเดียวกันบมจ.มติชน ได้ยื่นเอกสารเสนอราคา ซึ่งนายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง ก็เห็นสมควรอนุมัติจัดจ้าง บมจ.มติชน เป็นผู้จัดโครงการ Roadshow 2 จังหวัดดังกล่าว โดยกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนการลงนามในหนังสือสั่งจ้างใช้เวลาดำเนินการเพียง 2 วันเท่านั้น
ต่อมานายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง ได้ร่วมกันอนุมัติหลักการจัดโครงการ Roadshow อีก 10 จังหวัดที่เหลือ วงเงิน 200 ล้านบาท โดยได้อนุมัติให้นำราคากลางที่ได้กำหนดตรงกับข้อเสนอของบมจ.มติชนมาเป็นราคากลาง โดยแบ่งจัดจ้างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 5 จังหวัด แบ่งงานให้บมจ. มติชน และบมจ. สยามสปอร์ตฯ บริษัทละ 5 จังหวัด โดยในส่วนของบมจ. สยามสปอร์ตฯ มีนายระวิ โหลทอง ลงนามยื่นเอกสารการเสนอราคาด้วยตนเอง ซึ่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนการลงนามในหนังสือสั่งจ้างใช้เวลาดำเนินการเพียงวันเดียวเท่านั้น
ต่อมาได้มีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท ซึ่งในท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยมิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นสาระสำคัญให้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นอันตกไป ส่งผลให้โครงการต่าง ๆ ตามที่ได้ออกไป Roadshow ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ดังนั้น การใช้งบประมาณในโครงการ Roadshow จำนวน 240 ล้านบาทจึงเกิดความสูญเปล่า เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
โฆษก ป.ป.ช. กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นการใช้งบประมาณผิดประเภท (งบกลางฯ), ดำเนินการเซ็นสัญญากับเอกชนไปก่อนที่จะมีการออกใบงวดงาน, มีพฤติการณ์เร่งรีบรวบรัดขั้นตอนในเวลาอันสั้น, จัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษที่ไม่มีความเหมาะสม, ปล่อยให้เกิดการสมยอมราคากัน, กระทำการซ้ำซ้อนกับกระทรวงคมนาคมที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ และเกิดความสูญเปล่าทำให้ทางราชการได้รับความเสียหาย 240 ล้านบาท หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.สองล้านล้านบาทตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
"การชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนของ ป.ป.ช.แตกต่างกันไป บางคนมีมติเป็นเอกฉันท์ บางคนมีมติเป็นเสียงส่วนใหญ่" นายนิวัติไชย กล่าว