ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรีกรณีการแปลงสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจของ บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท
อัยการฝ่ายโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 ก.ค.51 โดยระบุว่าขณะที่นายทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองวาระติดต่อกันระหว่างช่วงปี 44-49 ได้มอบนโยบายและสั่งการให้ตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2546 และ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 เพื่อจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ
ขณะที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสมัยรัฐบาลชุดดังกล่าวมีอนุมัติให้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 68) ลงวันที่ 28 ม.ค.46 ให้ลดพิกัดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากอัตรา 50% เหลือ 10% และมีมติเมื่อวันที่ 11 ก.พ.46 เห็นชอบแนวทางให้คู่สัญญาภาคเอกชนนำภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้หรือค่าสัมปทานที่คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องนำส่งให้คู่สัญญาภาครัฐ
ศาลฯ ระบุว่านายทักษิณดำเนินการดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เชอร์วิส (ADVANC) และบริษัทดิจิตอลโฟน จำกัด ในเครือ SHIN ซึ่งได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากรัฐ โดยกลุ่ม SHIN มีนายทักษิณเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้ทั้งสองบริษัทได้รับคืนเงินภาษีสรรพสามิตที่ชำระแล้ว โดยมีสิทธินำไปหักออกจากค่าสัมปทานที่ต้องนำส่งรัฐ เป็นผลให้รัฐได้รับความเสียหาย และ SHIN ได้รับประโยชน์ อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต
ดังนั้น องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากให้ลงโทษนายทักษิณฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก 5 ปี
ทั้งนี้ ให้นับโทษจำคุกต่อจากโทษในคดีเอ็กซิมแบงก์ และคดีหวยบนดิน พร้อมทั้งออกหมายจับจำเลยมาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาแล้ว