นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) กับผู้นำ 6 ประเทศสมาชิกผ่านระบบการประชุมทางไกลว่า นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีและชื่นชมที่กรอบ MLC มีพัฒนาการและมีความร่วมมือเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้การประชุมครั้งนี้จะเป็นการหารือผ่านระบบทางไกล แต่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่จะสานต่อความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในภาวะที่ทุกประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 และถือเป็นอีกวาระหนึ่งที่จะร่วมกันพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสที่จะยกระดับความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน พร้อมเชื่อมั่นว่าปฏิญญาเวียงจันทน์จะสามารถย้ำเจตนารมณ์ร่วมของประเทศสมาชิก ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกองทุนพิเศษในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซี่งไทยได้รับอนุมัติทั้งหมด 10 โครงการในปีนี้
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงสาขาความร่วมมือที่ไทยให้ความสำคัญและมีความพร้อมทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่
1.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไทยสนับสนุนข้อริเริ่มในการติดตามประเมินผลความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ ทั้งในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ขยายความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง พัฒนาร่วมกับประสบการณ์และรูปแบบการดำเนินการที่ดีของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC) และสนับสนุนให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านทรัพยากรน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ความร่วมมือก้าวหน้าเห็นผลโดยเร็ว
2.ความมั่นคงด้านสาธารณสุข ไทยได้รับการยอมรับว่าจัดการและควบคุมสถานการณ์โควิด - 19 เป็นผลจากความร่วมมือของประชาชน และนโยบายด้านสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับความพร้อมของบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ ความสามารถในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและยา ตลอดจนความพร้อมเมื่อเจอภาวะวิกฤต ซึ่งไทยพร้อมให้ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนกับนานาชาติภายใต้กรอบ WHO โดยจะเร่งพัฒนาขีดความสามารถของไทยในการเป็นฐานการผลิตยาและวัคซีนของอนุภูมิภาค รวมทั้งเห็นพ้องกับประเทศสมาชิกว่า เมื่อผลิตวัคซีนสำเร็จประชาชนทุกภาคส่วนควรจะสามารถเข้าถึงได้
3.ยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคผ่านความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งกายภาพ กฎระเบียบ และประชาชน ซึ่งไทยยินดีที่จะเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ โดยต้องคำนึงถึงความสมดุลและความมั่นคงทางสาธารณสุขควบคู่กัน โดยเฉพาะด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ พลังงาน ดิจิทัล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ที่ห่างไกลจากระเบียงเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง รวมไปถึงการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น อาเซียน ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) เป็นต้น
4.การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 (Post Covid-19 Economic Recovery) เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนคือการสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) ให้ภาคเอกชน ผ่านการสนับสนุนภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย (MSMEs) พร้อมช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศสมาชิก และสนับสนุนให้ประเทศใน MLC ร่วมกันกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ทั้งการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ของประชาชน โดยคำนึงถึงความสมดุลกับความมั่นคงด้านสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการร่วมแสดงเจตจำนง และความแน่วแน่ร่วมกันของประเทศสมาชิกที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ โดยเปลี่ยนวิกฤตที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ ให้เป็นโอกาสในการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด สร้างสรรค์ และต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต เสถียรภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเพื่อการพัฒนาและความมั่งคั่งของพลเมือง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง