นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ออกมาแสดงท่าทีผ่อนคลายในการจัดซื้อเรือดำน้ำ ซึ่งโฆษกรัฐบาลได้ออกมาชี้แจงระดับหนึ่งแล้ว โดยกรรมาธิการฯ จะนัดประชุมช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อนำข้อมูลด้านความมั่นคงและผลกระทบทางเศรษฐกิจรวมถึงความกังวลของกองทัพเรือมาพิจารณาร่วมกัน และจะให้ความสำคัญกับทุกมิติ อย่างไรก็ดี กรรมาธิการฯ จะรอการชี้แจงจากทางกองทัพเรือ แต่ยังไม่ทราบว่าจะเข้าชี้แจงเป็นคณะบุคคลหรือเป็นการชี้แจงด้วยเอกสาร
นายสันติ กล่าวว่า เท่าที่คุยกับกรรมาธิการฯ ทุกคนเห็นด้วยกับความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีเรือดำน้ำ เพื่อเฝ้าดูแลด้านความมั่นคงทางทะเล และทรัพยากรเป็นเสมือนกล้องวงจรปิด ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่มีหมดแล้ว ยกเว้นลาว และกัมพูชาเท่านั้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจถึงความจำเป็นของการจัดซื้อเรือดำน้ำ ซึ่งได้อนุมัติงบประมาณแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 แต่ด้วยความปรารถนาดีของกองทัพเรือ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ช่วงเดือนก.ค.63 มีความรุนแรง จึงให้ความร่วมมือรัฐบาลคืนเงินที่ยังไม่ได้ใช้ไปก่อน โดยรัฐบาลจะตั้งงบประมาณคืนให้ในปีงบประมาณ 2564 แต่สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่แน่นอนและมีความจำเป็นด้านเศรษฐกิจที่ต้องผ่อนคลายเงินค่างวดจ่ายเรือดำน้ำอีกครั้ง โดยกองทัพเรือต้องไปเจรจากับรัฐบาลจีนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและปากท้อง แต่ทั้งนี้ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับเสียงในคณะกรรมาธิการฯ ตนจึงไม่ขอพูดไปก่อน ว่าคณะกรรมาธิการจะเห็นชอบการผ่อนจ่ายหรือไม่ แต่จะมีข้อสรุปในช่วงบ่ายวันนี้
อย่างไรก็ดี ก่อนพักการประชุมช่วงเช้า คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณารายงานของอนุกรรมาธิการฝึกอบรม สัมมนา ประชาสัมพันธ์ เสร็จสิ้นแล้ว โดยมีการพิจารณางบประมาณของกระทรวงอุตสาหกรรม 111 ล้านบาท เพื่อต่อสู้คดีที่บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี จังหวัดพิจิตร ฟ้องร้องรัฐบาลไทย กรณีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 44 สั่งปิดเหมืองแร่ทองคำ
โดย นพ.เรวัต วิศรุตเวช กรรมาธิการจากพรรคเสรีรวมไทย ใช้สิทธิแปรญัตติตัดงบประมาณทั้งหมด 111 ล้านบาท เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า หัวหน้า คสช. ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่มีสิทธิใช้งบประมาณต่อสู้คดี แต่ในที่สุดที่ประชุมมีมติ 38 ต่อ 21 เสียง ให้ปรับลดงบประมาณเพียง 12 ล้านบาทตามที่อนุกรรมาธิการฯ เสนอมาเท่านั้น ทางนพ.เรวัต และกรรมาธิการที่เห็นตรงกัน จึงขอใช้สิทธิสงวนคำแปรญัตติขอให้ตัดงบประมาณทั้งหมด 111 ล้านบาท ในชั้นการพิจารณารายมาตราวาระ 2 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป