พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์"ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน" พร้อมทั้งเปิดเผยว่าเตรียมจะยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ยกเว้นหากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น
"ในเวลานี้ เราต้องถอยกันคนละก้าว เพื่อออกห่างจากทางที่จะนำไปสู่ปากเหว เส้นทางที่จะพาประเทศไทยของเราค่อยๆ ตกลงไปสู่หายนะ และสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมจะเริ่มเกิดขึ้นมากขึ้นๆ การใช้อารมณ์ความรู้สึกนำ ก็จะยิ่งสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนมากยิ่งขึ้น และการใช้ความรุนแรง จะยิ่งนำมาซึ่งความรุนแรงที่มากกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้สอนเรามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งตอนจบของทุกครั้งก็คือความเสียหายที่ทิ้งไว้กับประเทศ"นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นี่คือช่วงเวลาที่คนไทยทุกคนได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง สละความรู้สึกส่วนตัว และความต้องการส่วนตัวบางอย่าง เพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ หน้าที่ในฐานะผู้นำประเทศ คือต้องดูแลทุกคนในประเทศไทย ต้องพยายามรักษาสมดุล ระหว่างมุมมองความคิด และความต้องการต่างๆ ที่แตกต่างกันในสังคม และบางอย่างก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก เพื่อทำให้คนไทยทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน ประเทศเดียวกัน และอยู่ร่วมกันบนผืนแผ่นดินเดียวกันได้ ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นไปทางไหน
อีกหน้าที่ในฐานะผู้นำประเทศ ต้องทำให้แน่ใจว่าบ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า และต้องปกป้องประเทศจากพลังมืดไม่ให้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย ต้องทำให้แน่ใจว่าประเทศไทยยังคงมีความยุติธรรมในสังคม มีความเท่าเทียมกันของคนไทยทุกคนที่อยู่ร่วมกันภายใต้กฏหมายเดียวกัน
"ทุกสิ่งที่ผมทำ ผมคำนึงถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศเสมอ คนส่วนใหญ่ที่นิ่งเงียบ ที่กำลังพยายามทำมาหากินอย่างหนัก หาเลี้ยงปากท้องของตัวเองและครอบครัว ผมต้องบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ได้ละเลยที่จะดูแลประชาชนคนอื่นๆ ของประเทศด้วย...เราไม่สามารถบริหารประเทศตามเสียงประท้วงหรือความต้องการของผู้ประท้วงกลุ่มต่างๆ ทุกกลุ่มประท้วงได้ แม้ผมจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ผมได้ยินเสียงความต้องการของผู้ประท้วงก็ตาม"นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ กล่าวว่า วงจรที่เราเคยเห็นกันมาตลอดว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนมาเป็นรัฐบาลก็ตามก็จะต้องเจอกับม็อบอีกฝ่ายเสมอ และในที่สุดการบริหารประเทศก็ทำไม่ได้ และประเทศก็ไหลลงไปสู่ทางที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายและหายนะ พวกเราทุกคนต้องช่วยกันทำลายวงจรนี้
เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เราได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่มีใครอยากเห็นว่าเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าหดหู่ใจอย่างมาก มีการทุบตีทำร้ายตำรวจด้วยคีมเหล็กขนาดใหญ่ และพฤติกรรมรุนแรงอีกหลายอย่างต่อเจ้าหน้าที่ เป็นการตั้งใจทำร้ายคนไทยด้วยกัน แต่เมื่อมองลึกลงไปกว่านั้น แม้จะเห็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีเจตนาร้ายและปฏิบัติตัวไม่ดีอย่างรุนแรง แต่เวลาเดียวกันก็เห็นว่ามีคนอีกมากมายปฏิบัติตนด้วยความสงบ มีเจตนาดีที่ต้องการขอความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม และมีความจริงใจที่อยากจะเห็นประเทศดีขึ้น
"เราจะไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการใช้คีมเหล็กขนาดใหญ่ตีใส่กัน หรือด้วยการทำลายเศรษฐกิจการหาเลี้ยงปากท้องของคนไทยด้วยกัน หรือด้วยการโจมตีสถาบันอันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของคนไทย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการขอคืนพื้นที่ ใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ด้วยเช่นเดียวกัน รัฐบาลพยายามผ่อนปรน หลีกเลี่ยง มีการประกาศให้ทราบก่อนทุกครั้ง ตามมาตรฐานสากล เราจะทำให้เกิดสังคมแบบที่เราต้องการได้ ด้วยการพูดคุยกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน พร้อมรับฟังและเข้าใจกัน และพร้อมที่จะประนีประนอม"
ดังนั้น วิธีเดียวที่เราจะได้ทางออกของปัญหาที่จะยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทั้งสำหรับประชาชนที่ออกมาอยู่บนท้องถนน และประชาชนอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่ได้ออกมา คือการพูดคุยกัน ทำงานด้วยกัน ผ่านระบบและกระบวนการของรัฐสภา แม้เส้นทางนี้อาจต้องใช้เวลาและอาจไม่รวดเร็วทันใจ แต่เป็นเส้นทางที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ซึ่งต้องแสดงความใจเย็นและความเป็นผู้ใหญ่ในตัวทุกคนออกมา กล้าที่จะเดินในเส้นทางสายกลาง
"หากผู้ประท้วงคิดว่าจะทำให้สิ่งที่ต้องการเกิดขึ้นได้ โดยการออกมาบนท้องถนน พวกเค้าอาจจะชนะ และสามารถก้าวข้ามหัวรัฐสภาได้สำเร็จ หรือพวกเค้าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ ก็เป็นไปได้ ตัวอย่างมีให้เราเห็นมาแล้วว่าเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
หรือฝ่ายรัฐ ถ้าหวังว่าปัญหาต่างๆ จะหายไปได้ ด้วยการใช้ไม้แข็งเพียงอย่างเดียว รัฐอาจจะประสบความสำเร็จตามนั้น หรืออาจจะไม่สำเร็จก็ได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างให้เราเห็นมาแล้ว เช่นเดียวกัน
มีวิธีเดียว ที่เราจะก้าวผ่านปัญหาไปได้อย่างยั่งยืน แน่นอนว่าต้องเกิดขึ้นจากการพูดคุยกัน จากการเคารพกระบวนการของกฏหมาย และจากการมองเห็นความต้องการของประชาชน ที่แสดงออกมา ผ่านทางกระบวนการรัฐสภา นี่คือวิธีการเดียว"นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกวา ผู้ประท้วงได้แสดงความคิดแล้ว เสียงและความคิดได้ยินโดยทุกฝ่ายและทุกคนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะนำความคิด และความต้องการของผู้ประท้วงมาพิจารณาร่วมกับความต้องการของประชาชนส่วนอื่นๆ ในสังคมไทย หาเส้นทางที่เหมาะสมและเห็นชอบร่วมกันส่วนใหญ่ ผ่านกระบวนการในระบบรัฐสภา ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชาชน
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการเปิดประชุมวิสามัญและได้ทูลเกล้าพระราชกฤษฎีกาแล้ว คาดว่าจะเปิดประชุมสภาในวันที่ 26-27 ต.ค.นี้
ในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพที่ดีของประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประท้วง หรือจะเป็นประชาชนที่นิ่งเงียบ วันนี้จะเป็นคนที่เริ่มก้าวแรกเพื่อที่จะลดอุณหภูมิความรุนแรง โดยกำลังเตรียมที่จะยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ยกเว้นหากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในเวลาเดียวกันก็ขอให้ผู้ประท้วงแสดงความจริงใจในเจตนาดีต่อประเทศ โดยการเคารพกฏหมาย เคารพระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ขอให้แสดงความคิดความต้องการผ่านผู้แทนราษฎร ซึ่งมีขั้นตอนกำหนดเวลาไปตามลำดับ
"ผมขอพวกท่าน ด้วยความจริงใจของผม เมื่อผมยอมก้าวไปในแนวทางนี้ ผมก็ขอให้พวกท่านก้าวไปในแนวทางเดียวกันด้วย และลดระดับเสียงของการสาดถ้อยคำที่สร้างความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม สร้างความเจ็บปวดให้กับคนในสังคม ผมขอให้ทุกคนร่วมใจกัน ทำให้เมฆดำที่กำลังเคลื่อนมาปกคลุมประเทศไทยของเรา ให้หายไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ เรายังมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่เร่งด่วน นั่นคือ การช่วยกันบรรเทาปัญหาปากท้อง ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากต้องเดือดร้อน จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโควิดทั่วโลก และในเวลาเดียวกัน ภารกิจที่ต้องเริ่มทำคู่ขนานกันไป ก็คือ เราต้องนำเอาประเด็นต่างๆ ที่ถูกพูดถึงว่าควรได้รับการแก้ไข เพื่อผลดีในระยะยาวของประเทศ มาเริ่มพูดคุยกัน เราต้องรักษาบาดแผลให้ทุเลาลง ก่อนที่มันจะบาดลึกมากไปกว่านี้"นายกรัฐมนตรี กล่าว