นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวชี้แจงในที่ประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญที่มีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติเป็นวันที่ 2 กรณีการปิดกั้นสื่อว่า หลายสื่อที่มีเจตนาเผยแพร่ภาพข่าวที่ทำร้ายจิตใจประชาชนคนทั้งประเทศ มีความตั้งใจที่จะจาบจ้วง ใช้คำพูด ใช้การอภิปราย ใช้การปราศรัย ถ่ายทอดออกไป ที่ไม่ได้เป็นประโยชน์หรือเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้คนใดคนหนึ่งเลย ดังนั้นการที่เป็นคนไทยอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน เมื่อทำผิดก็ต้องถูกดำเนินการภายใต้กฎหมายเดียวกัน
พร้อมยืนยันว่า รัฐจำเป็นต้องดำเนินการโดยไม่ได้เลือกปฏิบัติ สื่อทุกแขนงยังนำเสนอข่าวได้เต็มที่ เพียงแต่ขอให้อยู่ในข้อกฎหมาย หากมีเนื้อหาที่ละเมิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ตั้งใจก็ขอให้ดำเนินการลบออก ถ้าไม่ลบออกก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย
"ผมยังถูกต่อว่าด้วยซ้ำ ว่าทำน้อยไป ทั้งหมดที่ดำเนินคดี หรือสื่อที่ส่งให้ศาล อาศัยกระบวนการยุติธรรม ขออำนาจศาล ไม่ได้ใช้ความรู้สึกของรัฐมนตรี ไม่ได้ใช้ความรู้สึกของรัฐบาลเลย แต่อาศัยคำสั่งศาล ซึ่ง 80% พี่น้องประชาชนส่งมาให้ และเจ้าหน้าที่รวบรวมส่งศาลใน 48 ชั่วโมง เมื่อมีคำสั่งศาลก็ส่งให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ทราบ" รมว.ดีอีเอสกล่าว
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า รัฐมีจุดประสงค์ให้การใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นที่ที่ปลอดภัย สะอาด เป็นที่ที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองได้ แต่ต้องไม่หยาบคาย ไม่กระทำผิดกฎหมาย และต้องยืนอยู่บนหลักบนมาตรฐานเดียวกัน ภาครัฐจึงต้องดำเนินการในกรอบของคนที่เข้าข่ายข้อกฎหมายและมีความผิดจริง เนื่องจากเนื้อหาในโซเชียลมีเดียมีความหลากหลาย ซึ่งมุมของผู้ชุมนุม พบว่ามีการใช้โซเชียลมีเดียที่มีเนื้อหากับสิ่งที่แสดงออกรุนแรง ใช้คำพูดยุยงปลุกปั่น ทำร้ายทำลายสถาบันหลักของประเทศ ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ส่วนคนอื่นที่ใช้โซเชียล รัฐไม่ได้ไปล่วงเกินสิทธิของใคร ทุกคนจึงยังสามารถใช้สื่อโซเชียลได้อย่างอิสระ
"แม้ว่าแพลตฟอร์มต่างๆ อยู่ต่างประเทศ แต่เรามีกฎหมายไทย จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายของไทย ถ้าละเลย จะบรรลุความตั้งใจที่จะให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างยอมรับและเคารพความแตกต่างทางความคิดได้อย่างไร...ทั้ง 300,000 URLs นั้น ดำเนินคดีไป 2,000 กว่าราย เพราะดูคนที่มีความตั้งใจ และละเมิดข้อกฎหมายจริง ๆ วันนี้ทั้งเกือบ 3,000 คดีอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราไม่ได้นิ่งเฉย และดำเนินการทางกฏหมายอย่างเคร่งครัด" รมว.ดีอีเอสกล่าว