ศาลอาญานัดฟังคำสั่งกรณี 8 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปก.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนกรณีถูกคุมขังโดยมิชอบ และให้ปล่อยตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 ในวันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.
ช่วงเช้าที่ผ่านมา นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายวีระ มุสิกพงศ์ กับพวก รวม 9 คน ซึ่งเป็นแกนนำ นปก.ที่ถูกคุมขังได้ยื่นคำร้องดังกล่าวขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนเป็นการด่วนและขอให้เบิกตัวผู้ถูกคุมขังทั้ง 8 คนจากเรือนจำกลางพิเศษ กรุงเทพมาศาลด้วย
ทั้งนี้ นายวีระ มุกสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายเหวง โตจิราการ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ผู้ถูกคุมขังที่ 1-7 และ 9 เห็นว่าการยื่นคำร้องขอออกหมายขังและการที่ศาลมีคำสั่งให้คุมขังดังกล่าวเป็นการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิอาญา มาตรา 90 คือผู้ถูกคุมขังทั้งหมดไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา
อีกทั้งก่อนการยื่นคำร้องขอออกหมายขังดังกล่าวยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกคุมขังทราบ การแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกคุมขังทราบจึงเป็นไปโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งขัดต่อคำสั่งศาล โดยตามคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ที่ระบุว่า "จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 9 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา" ซึ่งเป็นความเท็จและมิชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ถูกคุมขังทั้งหมด ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือไม่ได้เป็นหัวหน้า หรือผู้มีอำนาจสั่งการให้ประชาชนผู้ชุมนุมไปกระทำความผิดต่อกฎหมาย และไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่ง หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจตามข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน โดยผู้ถูกคุมขังไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหารจึงชุมนุมเรียกร้องให้คณะปฏิวัติ คณะรัฐประหาร และรัฐบาล รวมทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การทำรัฐประหารออกไปเพื่อให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
การจัดชุมนุมดังกล่าวไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง อีกทั้งไม่มีการใช้อาวุธในการชุมนุมด้วย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการวางแผนของผู้ที่ปฏิวัติรัฐประหาร สร้างเหตุการณ์ เพื่อเป็นการหาเหตุให้เกิดการกระทำผิดทางอาญาที่จะนำมากล่าวหาและออกหมายจับโดยไม่มีการออกหมายเรียกให้เข้าไปให้การก่อน โดยใช้กลหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าเมื่อมารับทราบข้อกล่าวหาแล้วจะปล่อยตัวไป
พนักงานสอบสวนได้ใช้วิธีการขอให้ศาลออกหมายขังเพื่อให้เข้าตามหลักเกณฑ์ ป.วิอาญา มาตรา 134 วรรค 5 โดยขั้นตอนและกระบวนการที่พนักงานสอบสวนดำเนินการตั้งแต่ต้นจนถึงการขอออกหมายขัง ล้วนแต่อยู่ในแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้น ทั้งที่พนักงานสอบสวนรู้อยู่แล้วว่าผู้ถูกคุมขังทั้งหมดและกลุ่มแกนนำไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า การที่ศาลมีคำสั่งให้ควบคุมและคุมขังทั้งที่ยังอยู่ในชั้นพิจารณาการออกหมายจับ ซึ่งพนักงานสอบสวนยังทำการสอบสวนไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งยังไม่มีคำสั่งฟ้อง และที่สำคัญศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา ดังนั้นการที่ผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 คนได้ปรากฏตัวต่อหน้าศาลเมื่อวันที่ 26 ก.ค.50 จึงเสมือนศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ผู้ถูกคุมขังไปก่อนแล้วอันถือว่าเป็นคำสั่งที่ขัดต่อข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ว่า คดีอาญาก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2540 มาตรา 33
แต่เรื่องนี้กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้มีการจับกุมผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 โดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดเป็นจำนวนมากเข้ามาจับกุมในห้องพิจารณาคดีของศาล ซึ่งได้มีการบังคับขู่เข็ญ นายมานิตย์ ผู้ถูกคุมขังที่ 9 ซึ่งเคยเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ทั้งที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีคำร้องขอออกหมายจับ
ผู้ถูกคุมขังทั้งหมดเห็นว่า การขอออกหมายจับและการฝากขังครั้งที่ 1 ถือว่ากระบวนการยังอยู่ในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนเท่านั้นซึ่งการควบคุมตัว จะต้องเป็นไปตาม ป.วิอาญา มาตรา 87 คือ การควบคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อมาให้การต่อพนักงานสอบสวนเท่านั้นและเมื่อเสร็จจากการสอบสวนต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาไป เว้นแต่กรณีจะมีเหตุจำเป็นว่า ผู้ต้องหาจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายตามที่บัญญัติไว้ตาม ป.วิอาญา มาตรา 66 ซึ่งพนักงานสอบสวนจะขอให้ศาลออกหมายขังได้ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในการพิจารณาคำร้องการขอออกหมายจับของศาลจะเห็นได้ว่าพนักงานสอบสวนยอมรับแล้วว่า ผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 ไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายแต่อย่างใด
ดังนั้นเมื่อการกระทำของพนักงานสอบสวนทั้งหมดเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่มีเหตุที่จะขอให้ศาลออกหมายจับ และขอออกหมายขังผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 คน
--อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--