นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ยืนยันสนับสนุนการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แต่การออกมาแถลงข่าวเป็นกระบวนการตรวจสอบความถูกต้อง เนื่องจากต้องนำเงินภาษีของประชาชนชนมาใช้แต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูล โดยพบว่าขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และมีการจัดหาวัคซีนไว้เพียง 21% ของจำนวนประชากร จากบริษัท แอสตร้า เซนเนก้า 26 ล้านโดส และบริษัท ซิโนแวก เทคโนโลยี อีก 2 ล้านโดส แต่ยังไม่มีความชัดเจนในการจัดหาเพิ่มเติม ขณะที่ประเทศอื่น เช่น ไต้หวันจัดเตรียมไว้ 40% มาเลเซียจัดเตรียมไว้ 70% ซึ่งความล่าช้าดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูประเทศให้ล่าช้าออกไปด้วย และอาจเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ได้อีก
"วัคซีนเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เราจะหยุดปัญหาเศรษฐกิจชะงักจากโควิดได้แล้ว แต่อย่างลืมว่าเรายังอยู่ในอุโมงค์ ตราบใดที่ยังไม่มีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในจำนวนมากพอ เหมือนเรายังอยู่ในความมืดมิด ประชาชนใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัว" นายธนาธร กล่าว
ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ข้อตกลงที่รัฐบาลทำไว้กับบริษัท แอสตร้าฯ และ สยามไบโอไซแอนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนนั้น จะทำให้บริษัทนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มจาก 600 ล้านบาท เป็น 1,400 ล้านบาท เป็นการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน เพราะไม่มีการคัดเลือกเป็นการทั่วไป จึงต้องตรวจสอบตามปกติเหมือนที่ผ่านมา เช่น กรณีบริษัท คิงพาวเวอร์, กรณีรถไฟฟ้าสายสีทอง
"เอกสารที่เรามีระบุชัดว่า 3 deal ไม่ได้เป็นเอกเทศ แต่เป็น deal ดีลเดียวกัน...หากมีเอกสารมาชี้แจงให้เห็นว่าสมมติฐานที่ผมตั้งไว้ผิด ผมก็พร้อมจะขอโทษ" นายธนาธร กล่าว
ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการออกมาพูดเรื่องนี้คือถูกรัฐบาลฟ้องในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และมาตรา 112 ซึ่งเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด หากมองย้อนกลับไปจะเห็นว่านายกรัฐมนตรีบิดเบือนประเด็นทุกครั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทำงานที่ผิดพลาด โดยหยิบยกสถาบันฯ มากลบเกลื่อนความไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารงานของตัวเองมาโดยตลอด โดยอ้างการปกป้องสถาบัน
"คดีแบบนี้มันเป็นธรรมหรือไม่ ต่อไปใครวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจะโดนคดีปิดปากอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจคือการไม่จงรักภักดีหรือเปล่า คือการเป็นศัตรูกับสถาบันหรือเปล่า" นายธนาธร กล่าว
ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าบริษัท สยามไบโอไซแอนซ์ ไม่แสวงหากำไร เพราะยังไม่เคยได้ยินผู้บริหารของบริษัทฯ ออกยืนยันหลักการ no profit no loss อย่างที่บริษัท แอสเตร้าฯ ประกาศไว้เลย คนที่ออกมาพูดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่ผู้บริหารของบริษัทฯ ถ้าจะให้เชื่อก็ง่ายนิดเดียว แค่เปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อสาธารณชนเท่านั้น
ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า หลังจากทำงานการเมืองแค่ 2 ปีถูกดำเนินคดีนับไม่ถ้วน คดีนี้ก็มีเหตุจูงใจทางการเมืองเช่นกัน แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการทำงานของตนและคณะได้เพราะมีกำลังใจที่ดี
"ตั้งแต่ผมตัดสินใจมาทำงานการเมือง ไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่เคยคิดถึงชื่อเสียงตัวเอง ไม่เคยคิดที่จะเอาภาษีประชาชนมาเป็นสมบัติของตัวเอง ไม่เคยคิดถึงตำแหน่ง ไม่เคยอยากเป็น ส.ส. ไม่เคยอยากมีตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หากต้องผลักดันให้สังคมไปถึงจุดนั้นก็พร้อมที่จะเป็น" นายธนาธร กล่าว