น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร เดินสายไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ กระทรวงยุติธรรม ศาลอาญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เรียกร้องให้มีความเป็นกลางในการพิจารณาและดำเนินคดีความ โดยพึงระลึกถึงประชาชนอยู่เสมอ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและให้ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรม
สืบเนื่องจากการที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องแกนนำ 4 คน ได้แก่ นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงก์ กรณีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎรที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และท้องสนามหลวง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 ซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทำให้ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
น.ส.ปนัสยา อ่านจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวเมื่อเดินทางมาถึงศาลรัฐธรรมนูญเป็นจุดแรก หลังจากนั้นได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งส่วนหนึ่งของจดหมายระบุว่า ตามหลักกระบวนการยุติธรรมทั่วโลกในคดีอาญาให้ถือว่าในระหว่างดำเนินคดียังไม่สิ้นสุดให้ถือว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนผู้กระทำผิดไม่ได้ ซึ่งในรัฐธรรมนูญมีการรับรองสิทธิในเรื่องนี้ไว้ด้วย
การที่ศาลปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวโดยให้เหตุผลว่ามีพฤติกรรมอาจกระทำความผิดซ้ำ ถือเป็นพิพากษาไปล่วงหน้าแล้ว และละเมิดสิทธิของจำเลยทั้ง 4 คนอย่างชัดเจน เพราะมีการจองจำทั้งที่ยังไม่ได้มีการพิจารณาคดี อีกทั้งยังไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ซึ่งเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ชอบธรรม ขณะที่ผู้ต้องหาในคดีอาญาอื่นๆ ที่มีโทษรุนแรง เช่น ฆ่าคนตาย กลับได้ประกันตัว นอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนแล้วยังเป็นการทำลายเกียรติภูมิของศาล และอาจถูกครหาว่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง
น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า ตนเองได้เตรียมใจไว้แล้วที่จะเดินทางไปฟังคำสั่งอัยการคดีเดียวกันในวันพรุ่งนี้ เพราะมีธงชัดเจนแล้วที่จะถูกคุมขัง แต่จะไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎรที่จะเดินหน้าต่อไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ก.พ.เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่สามารถควบคุมได้ หลังจากนี้แกนนำจะมีมาตรการที่รัดกุมมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงขึ้นอีก ขณะเดียวกันกลุ่มราษฎรเตรียมจัดกิจกรรมอภิปรายนอกสภาในช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนการนัดชุมนุมในวันที่ 20 ก.พ.มีขึ้นอย่างแน่นอนแต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้
ด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน มาดูแลความเรียบร้อยบริเวณทางเข้า พร้อมวางแผงเหล็กกั้น ซึ่งขณะนี้ประตูทางเข้าออกทั้งสองฝั่งยังไม่มีการปิดประตูรั้ว นอกจากนี้มีกำลังตำรวจกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน กองบัญชาการตำรวจนครบาล มาประจำอยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเตรียมรถเครื่องขยายเสียงไว้จำนวน 1 คัน โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยสถานที่
ขณะเดียวกันนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร จัดกิจกรรมเดินเท้าจากจากโคราชสู่กรุงเทพฯ เป็นระยะทาง 247.5 กิโลเมตรเริ่มวันนี้ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยแกนนำราษฎรทั้ง 4 คนที่ถูกกักขังจองจำ นอกจากนี้ ต้องไม่จับเพิ่มอีก 24 คน ที่คาดว่าจะถูกกักขังจองจำในวันพรุ่งนี้ และที่จะเพิ่มขึ้นอีกตามจำนวนผู้ถูกกล่าวหาโดยมาตรา 112 ไปแล้วถึง 58 ราย และเดินเพื่อรณรงค์บอกเล่ารากเหง้าของปัญหาที่เพื่อนเราถูกดำเนินคดีกลั่นแกล้งจากการใช้สิทธิและเสรีภาพอันพึงมีเพื่อขอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกหมวดทุกมาตรา
"วันนี้คือก้าวที่สองที่เสรีภาพของเพื่อนเราถูกคุมขังจองจำจากการออกมาเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญและปฏิรูปสถาบันฯ ทั้งๆ ที่ศาลควรยึดหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยหรือบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ อันเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินคดีที่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมายและรัฐธรรมนูญ"แถลงการณ์ ระบุ