นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ชี้แจงกรณีการจัดซื้อถุงมือยางเทียมขององค์การคลังสินค้า (อคส.) จากการอภิปรายของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย โดยนายจุรินทร์ชี้แจงว่า เรื่องนี้เคยตอบกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี โดยตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ได้ทำหน้าที่ตอบกระทู้สดไปแล้ว ซึ่งขอปฏิเสธไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบทางการ หรือไม่เป็นทางการ หรือแอบสั่งการในที่ลับ ที่แจ้งใดๆ ก็ตาม
พร้อมเห็นว่า ผู้อภิปรายโกหกหลายประการในที่ประชุมสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่ตั้งกรรมการสอบ การอายัด การดำเนินคดี การดำเนินการเมื่อทราบเรื่องและการให้สัมภาษต่อสื่อมวลชน ซึ่งทั้งหมดนั้นตนได้ดำเนินการไปแล้ว โดยเฉพาะทันทีที่ทราบได้ประสานงานเรื่องการย้ายอดีตรักษาการ อคส.ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
"เรื่องนี้ ตนจะไม่ยอม ไม่ว่าใครทุจริตโครงการ จะจัดการทั้งทางวินัย ทางแพ่ง ทางอาญาจนถึงที่สุด ตราบที่อำนาจหน้าที่และกฎหมายให้ " นายจุรินทร์กล่าว
นอกจากนี้ ผู้อภิปรายยังกล่าวเท็จกรณีมอบนโยบายเตรียมให้ทุจริต โดยให้ประธานบอร์ดไปดำเนินการซื้อขายถุงมือยาง โดยความจริงคือ นโยบายส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ให้ผู้ส่งออก-นำเข้าได้ค้าขายยางออนไลน์ รวมทั้งตลาดถุงมือยางเป็นยางธรรมชาติที่ช่วยชาวสวนยาง แต่ไม่ใช่ถุงมือยางเทียมที่ส่อทุจริตที่พูดอยู่ในสภาขณะนี้
โดยนายจุรินทร์ ได้ระบุถึงสรุปการจัดการกรณีถุงมือยางเทียม อคส. เมื่อพบในวันที่ 14 ก.ย.63 ก็ได้สั่งย้าย พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ไปประจำที่สำนักนายกรัฐมนตรี จากนั้น 15 ก.ย.63 มีการตั้งคณะกรรมการสอบทันที ต่อด้วยวันที่ 17 ก.ย.63 ได้ระงับการซื้อขาย และเมื่อ 18 ก.ย.63 นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ ได้เข้าแจ้งความต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
โดยก่อนที่ วันที่ 23 ก.ย.63 จะเข้าแจ้งความต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ก็ได้รายงานตน 4 ครั้ง เพื่อทราบถึงการดำเนินการส่งเรื่องต่อองค์กรอิสระทั้งหมด ซึ่งกระบวนการของทางป.ป.ช.โดยประธาน ได้มีการให้ข่าวถึงความคืบหน้าแล้ว โดยกระบวนการขององค์กรเหล่านี้เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นระดับใดก็จะต้องถูกตรวจสอบ
นายจุรินทร์ ชี้แจงว่า อคส.เป็นรัฐวิสาหกิจไม่ใช่ส่วนราชการที่รัฐมนตรีจะมีอำนาจเข้าไปสั่งการทางนโยบายได้ อคส.เป็นรัฐวิสาหกิจเดียวของกระทรวงพาณิชย์ มีกฎหมายโดยเฉพาะเรียกว่า พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ.2498 เป็นกฏหมายแม่บทที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของทุกฝ่ายไว้ชัดเจน ใครไม่ปฏิบัติตามก็ผิดกฎหมาย รัฐมนตรียังต้องปฏิบัติตาม ไม่สามารถทำนอกกฏหมายได้
"ทันทีที่ผู้อำนวยการคนใหม่เข้าไปรับทราบความไม่ชอบมาพากล ก็ได้รายงานให้ผมทราบ และไม่ได้แปลว่าหลังจากนั้นผมจะไม่ทำอะไร ผมใช้อำนาจหน้าที่ที่ผมมีอยู่จำกัด ดำเนินการร่วมกับผู้อำนวยการคนใหม่ในหลายประการ และได้ติดตามความคืบหน้าตลอด โดยผู้อำนวยการคนใหม่ได้รายงานมติคณะกรรมการกฎหมายให้มีมติเอกฉันท์เกี่ยวกับสัญญาโมฆะ และรายงานความคืบหน้าเรื่องที่ส่งทั้งดีเอสไอ, ป.ป.ช., ปปง. และผมก็ได้สั่งการให้ดำเนินการ เพื่อรักษาประโยชน์ทางราชการอย่างเคร่งครัดในวันที่ 28 ต.ค.63 ได้รายงานครั้งที่ 3 และ 1 ธ.ค.63 ก็แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับข้อพิรุธในสัญญาที่เหลือ เมื่อพบแล้วก็ได้ทำรายงานต่อ ป.ป.ช.เพิ่มเติม เพื่อจะได้สะดวกในการเร่งรัดการไต่สวน" นายจุรินทร์ กล่าว
พร้อมระบุว่า รัฐมนตรีมีอำนาจจำกัด ตามพระราชกฤษฎีกาองค์การคลังสินค้าฉบับใหม่ พ.ศ.2535 เพราะพระราชกฤษฎีกาใหม่ที่แก้ไขปี 35 ได้นำรัฐมนตรีออกจากการเป็นประธานบอร์ด อคส. โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานบอร์ดแทน
ทั้งนี้ รัฐมนตรีมีอำนาจจำกัด แค่ให้บอร์ดชี้แจงแสดงความเห็น ทำรายงานยื่น และเป็นเสมือนบุรุษไปรษณีย์ เพื่อให้ อคส.เป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองในการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการ บอร์ดมีนโยบายอย่างไร รัฐมนตรีจะไปสั่งให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้ บอร์ดเป็นผู้บังคับบัญชาผู้อำนวยการ และผู้อำนวยการทำตามนโยบายบอร์ด รับผิดชอบต่อบอร์ดในฐานะผู้บังคับบัญชา โดยคณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอนบอร์ด และผู้อำนวยการ
"ให้ผู้มีความรู้ความชำนาญทางธุรกิจ มาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ เพื่อแยกการบริหารกิจการของ อคส.ออกจากการเมือง นี่คือเหตุผลที่รัฐมนตรีเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับบอร์ด และผู้อำนวยการ และพนักงาน ไม่มีอำนาจบังคับบัญชา" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์กล่าว
โดยก่อนหน้านี้ นายประเสริฐ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายจุรินทร์ ด้วยเหตุการทุจริตการจัดซื้อถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ซึ่งพบอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมมืออย่างเป็นขบวนการ ทำให้ อคส.เสียหาย เป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท