นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา แถลงภายหลังหารือร่วมกับวิป 3 ฝ่าย ถึงความชัดเจนในการลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (17 มี.ค.) ว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกลางออกมาเมื่อวานนี้ (15 มี.ค.) ส่งผลให้เหตุผลที่ต้องนัดประชุมในวันพรุ่งนี้ (17 มี.ค.) เปลี่ยนแปลงไป โดยจำเป็นจะต้องรอฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง ว่าจะสามารถเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งจะมีความชัดเจนในช่วงเย็นวันนี้
นายชวน กล่าวว่า เนื่องจากการนัดประชุมเพื่อลงมติวาระ 3 ในวันที่ 17 มี.ค.นี้ เป็นผลมาจากการที่ฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าสามารถเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ต่อไปได้ ซึ่งเป็นการพิจารณาตามแนวปฏิบัติของรัฐสภา ที่จะต้องดำเนินตามขั้นตอนตามกฏหมาย เพราะรัฐสภาไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ แต่เมื่อมีคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญออกมาแล้ว ทำให้ทุกอย่างต้องเปลี่ยน จำเป็นจะต้องหารือฝ่ายกฎหมายว่าความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ การลงมติวาระที่ 3 จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่ นายชวน ยอมรับว่า แนวโน้มต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งศาลได้วินิจฉัยไปในทางที่ว่าเป็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ส่วนจะต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกครั้งว่าสามารถลงมติวาระ 3 ได้หรือไม่นั้น เห็นว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาที่จะต้องพิจารณา ซึ่งแนวทางที่ฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาจะต้องพิจารณา คือ ต้องยึดตามกฏหมาย และยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีผลผูกพันทุกองค์กร จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น
นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาจะมีการหารือกันอีกครั้งหนึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 17 มีนาคมว่า หากให้มีการลงมติวาระ 3 จะถือว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่
เนื่องจากตอนนี้ยังมีความเห็นเป็น 2 ทาง คือ 1.หากให้ลงมติอาจจะขัดคำสั่งต่อศาลรัฐธรรมนูญ และ 2. ถ้าไม่ลงมติในวาระที่ 3 ก็เกิดคำถามว่าจะเดินอย่างไรต่อไป ซึ่งจะนำออกจากระเบียบวาระก็ไม่สามารถทำได้เพราะหากถอนออกเรื่องก็ยังคงคาอยู่ หรือพร้อมที่จะกลับเข้ามาสู่ระเบียบวาระต่อไปได้อีก ซึ่งจะต้องรอประธานรัฐสภาหารือกับฝ่ายกฎหมายของรัฐสภา เพื่อหาแนวทางร่วมกัน