นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พร้อมด้วยทนายความ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของ สน.นางเลิ้ง ในข้อหาการกระทำความผิดตามมาตรา 112 กรณีไลฟ์เฟซบุ๊กบรรยายหัวข้อ"วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย" วิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาลที่มีความล่าช้า และตั้งข้อสังเกตการถ่ายโอนเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า มายังบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด
นายธนาธร กล่าวภายหลังให้ปากคำนานกว่า 2 ชั่วโมงว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้ง 2 ข้อหาตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แม้ตนเองจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจในการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นเพื่อหวังให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดประเทศเร็วขึ้น เพื่อผู้ประกอบการจะได้กลับมาทำการค้าอีกครั้ง โดยหลังจากไลฟ์สดรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนการจัดซื้อวัคซีน ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
ส่วนเรื่องคดีได้นัดนำเอกสารหลักฐานส่งให้พนักงานสอบสวนเพื่อสอบคำให้การอีกครั้งในวันที่ 7 พ.ค.นี้
นายธนาธร กล่าวอีกว่า สถานการณ์วัคซีนโควิดในประเทศไทยขณะนี้แบ่งเป็นเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จัดหา และเรื่องการฉีด โดยปัจจุบันมีวัคซีนค้างสต็อกกว่า 1 ล้านโดสที่ยังไม่ฉีด หลังจากฉีดไป 1.5 แสนเข็มจนถึงขณะนี้ ตกวันละ 5,000 โดส แสดงว่าไม่มีประสิทธิภาพในการฉีด หากจะหมด 1 ล้านโดส ต้องใช้เวลา 200 วันจึงจะหมดสต็อก หากไม่พูดไม่ตรวจสอบประชาชนคงไม่ทราบว่าเหตุใดไม่รีบกระจายไป ในเมื่อมีวัคซีนในมือแล้ว แต่กระบวนการกระจายวัคซีนมีปัญหา
"ผมมีเจตนาดีต่อสังคม สิ่งที่พูดไว้เมื่อ 2 เดือนก่อนเป็นจริงในตอนนี้ หากพึ่งบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยงต่อสังคม"นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวด้วยว่า วันนี้มีการใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกัน กรณีการสลายชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าที่มีความสงบสันติและมีข้อเรียกร้องชัดเจน ต้องเรียกร้องรัฐบาลว่าหากต้องการให้สังคมอยู่อย่างสงบสุข ต้องบังคับใช้กฎหมายให้เสมอภาค
พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้เดินทางมาติดตามการสอบสวนคดี โดยยืนยันว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เมื่อแจ้งข้อหาเสร็จจะไม่ควบคุมตัว ไม่ใช่ว่าตำรวจมีสองมาตรฐาน หรือเลือกปฏิบัติ เพราะทำตามพยานหลักฐาน ใครจะวิจารณ์ก็เป็นสิทธิ์ ส่วนสาเหตุที่ตนต้องเข้ามาติดตามคดีด้วยตัวเองนั้น เนื่องจากเป็นคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากมีคดีความมั่นคง ระดับกองบัญชาการต้องเป็นผู้รับผิดชอบ