รายงานข่าวจากรัฐสภา แจ้งว่า ที่ประชุมรัฐสภาวันนี้มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ หลังจากที่ประชุมใช้เวลาพิจารณารายมาตราจนถึงเวลา 15.00 น.หรือกว่า 3 ชั่วโมงจึงได้มีการลงมติข้างมากเห็นชอบ 618 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง
ทั้งนี้ ที่ประชุมรัฐสภาได้พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.เป็นประธาน กมธ.ฯ พิจารณาแล้วเสร็จในวาระสองต่อเนื่องจากการประชุมเมื่อวันที่ 8 เม.ย.64 ที่ต้องยุติลง เพราะมีปัญหาเรื่องจำนวนสมาชิกที่ใช้นับเป็นองค์ประชุมและปิดสมัยประชุมไป โดยยังเหลือมาตรารวมทั้งสิ้น 16 มาตรา ในหมวดว่าด้วยการคัดค้านการออกเสียง และหมวดความผิดและบทกำหนดโทษ ตั้งแต่มาตรา 54 โดยผลพิจารณาและลงมติรายมาตราพบเสียงข้างมากยึดตามการแก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมาก
สาระสำคัญ อาทิ
กรณีการทำลายบัตรออกเสียงให้ชำรุด หรือทำให้เป็นบัตรเสีย หากเป็นบุคคลต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, กรณีเป็นเจ้าพนักงานหรือผู้ที่มีหน้าที่จัดการออกเสียงประชามติ ต้องโทษจำคุก 1-10 ปี และปรับ 2 หมื่น-2 แสนบาท และให้ศาลเพิกถอนสิทธิสมัครรรับเลือกตั้ง 10 ปี
กรณีทำลายเครื่อง อุปกรณ์ ออกเสียงอิเล็กทรอนิกส์ หรือข้อมูลการลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ให้ชำรุดเสียหาย หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการลงคะแนน หากเป็นบุคคลต้องโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรรับ, กรณีเป็นเจ้าพนักงานหรือผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการออกเสียงประชามติต้องโทษจำคุก 1- 10 ปี และปรับ 2 หมื่น-2 แสนบาท และให้ศาลเพิกถอนสิทธิสมัครรรับเลือกตั้ง 10 ปี
ทั้งนี้ ในประเด็นบทกำหนดโทษของการกระทำในการออกเสียงประชามติ ตามมาตรา 60 กมธ.ได้ปรับเนื้อหาใหม่ โดยกำหนดลักษณะการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะออกเสียงประชามติอันเป็นเท็จ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และมีมาตราเพิ่มใหม่ที่ห้ามผู้ใดรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ไปใช้สิทธิ ซึ่งกำหนดห้ามทำตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวันก่อนวันออกเสียง 1 วัน จนถึงสิ้นสุดเวลาออกเสียง หากฝ่าฝืนต้องโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนในมาตราสุดท้าย กมธ.ฯ เพิ่มขึ้นใหม่ โดยกำหนดบทลงโทษผู้ที่ทำผิด พ.ร.บ.ประชามติ แม้อยู่นอกราชอาณาจักร ต้องได้รับโทษในราชอาณาจักร เช่นเดียวกับการกระทำของผู้เป็นตัวการ ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดที่อยู่นอกราชอาณาจักรให้ถือว่าเป็นการกระทำในราชอาณาจักร
หลังจากนั้น พล.อ.ต.เฉลิมชัย เครืองาม ส.ว.ฐานะ กมธ.ฯ ได้หารือกับที่ประชุมว่า ขอให้ประธานวินิจฉัยการใช้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาที่ยังมีข้อขัดแย้ง คือ ข้อ 108 กำหนดให้ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปฏิรูป ให้ทำเป็นสามวาระ และให้นำความหมวด 4 บังคับใช้โดยอนุโลม และข้อ 102 ที่กำหนดให้ภายใน 15 วันที่ร่างกฎหมายที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ให้ประธานรับสภาส่งไปยังศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความเห็น หากไม่มีข้อทักท้วงภายใน 10 วันให้ดำเนินการตามขั้นตอนทูลเกล้าฯ ต่อไป กรณีที่องค์กรให้ความเห็นว่ามีข้อความใดที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้รัฐสภาแก้ไข โดยขอให้วินิจฉัยเพื่อเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน
ทั้งนี้ นายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม กล่าวว่า การหารือดังกล่าวไม่มีผล แต่สามารถทำเป็นญัตติยื่นต่อประธานรัฐสภาว่าดำเนินการถูกต้องหรือไม่ และขาดขั้นตอนใดหรือไม่ และข้อหารือขอให้หารือนอกรอบ