ฝ่ายค้าน ยื่นป.ป.ช. สอบนายกฯ ใช้อำนาจขัดรธน.หลังออกประกาศคุมสื่อ

ข่าวการเมือง Tuesday August 10, 2021 12:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย เดินทางยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ กรณีออกประกาศฉบับที่ 29 การจำจัดเสรีภาพของสื่อ และข้อมูลข่าวสาร

ทั้งนี้ เหตุผลในการออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 ของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเหตุผลที่มีเจตนาหรือมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เพื่อต้องการลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของตนเอง ไม่ใช่เหตุผลและเงื่อนไขตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 29 จึงเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เข้าข่ายกระทำความผิดอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 172

นอกจากนี้ การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ซึ่งให้นำมาใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย ตามข้อ 8 ข้อ 11 ข้อ 12 และข้อ 13 จึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป

นายสุทิน กล่าวว่า กรณีศาลแพ่งวินิจฉัยสั่งการให้คุ้มครองชั่วคราว เท่ากับข้อกำหนดนั้นไม่มีผลบังคับใช้ พรรคฝ่ายค้านซึ่งมีหน้าที่กำกับการบริหารแผ่นดินของรัฐบาล จึงไปศึกษาคำวินิจฉัย เห็นว่าการกระทำของนายกฯ และรัฐบาลมีความผิดอย่างน้อย 3-4 กระทง คือ

1.จำกัดสิทธิบุคคลในเรื่องเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 36 ของรัฐธรรมนูญ

2.มาตรา 172 ของ พ.ร.บ.ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนกงานปฏิบัติ หรือละเนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบให้บุคคลเสียหาย

4.ประมวลจริยธรรม

"ดังนั้น จึงรวมกันมายื่นต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับนายกฯ มีบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เมื่อวินิจฉัยแล้วพบว่ามีความผิดตามที่ร้อง ก็ส่งเรื่องนี้ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อศาลประทับรับฟ้องจะต้องมีการสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรืออื่นใดสุดแล้วแต่ศาล ซึ่งจุดหมายปลายทางจริงๆ เชื่อว่าเมื่อผิดตามข้อกล่าวหาทั้งหมด ก็จะกระทบต่อสถานภาพของนายกฯ แน่นอน ถือเป็นการถอดถอนผ่านทางคดีอาญา" นายสุทินระบุ

นายสุทิน กล่าวว่า นอกจากผิดพลาดในการแก้ไขสถานการณ์แล้ว ยังกำลังจะยกเลิกหรือนิรโทษกรรมให้กับตัวเองแบบสุดซอยอีก คือ ไม่รับผิดชอบ แล้วหนีความผิดแบบครบวงจร จึงขอให้ช่วยกันติดตามการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยให้ตัวเองพ้นผิดจากการบริหารสถานการณ์ครั้งนี้

ด้านนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครอง แม้รัฐบาลจะไม่ยกเลิกเพิกถอนก็ไม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งคำพิพากษาจะเป็นประโยชน์ต่อการยื่นร้องในวันนี้ของฝ่ายค้าน และเป็นประโยชน์ที่จะใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเป็นหลักฐานที่ชัดเจน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ