ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในวาระ 2 มาตรา 9 งบประมาณกระทรวงการคลัง วงเงิน 10,948 ล้านบาท โดยเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก ด้วยคะแนน 254 ต่อ 79 งดออกเสียง 1
นายวิเชียร เชาวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ กล่าวว่า งบที่ตั้งส่วนใหญ่ตั้งตามความจำเป็นและสอดคล้องกับภารกิจตามยุทธศาสตร์ของกระทรวง ซึ่งกมธ.ปรับลดงบประมาณไป 334 ล้านบาท จากงบที่ตั้งไว้ 11,354 ล้านบาทเศษ
พร้อมชี้แจงในประเด็นเรื่ององค์การมหาชนที่ดำเนินการโครงการพัฒนาภายใต้ระเบียงเศรษฐกิจอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระยะที่ 3 ในส่วนเมืองเมียวดี ซึ่งถือเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 62 และต่อเนื่องมายังงบประมาณปี 65 ซึ่งกมธ.ได้ปรับลดงบตรงส่วนนี้ไป 9 ล้านบาทเศษ เหลือการดำเนินโครงการนี้ 94 ล้านบาทเศษ ส่วนประเด็นอื่นๆที่ให้ข้อคิดและปรับลดงบประมาณนั้น ได้มีการปรับลดงบประมาณไปแล้วและขอยืนยันตามกมธ.เสียงข้างมาก
ทั้งนี้ ได้มีส.ส.สงวนคำแปรญัตติและขอปรับลดงบประมาณ ได้แก่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ ขอปรับลดงบประมาณ โดยตัดงบของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน กระทรวงการคลัง เกี่ยวกับโครงการพัฒนาเมืองเมียวดี สืบเนื่องจากเมียนมามีการทำรัฐประหาร และแนวชายแดนแม่สอด-เมียวดียังมีสงครามการเมือง และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของพม่าจะติดลบ 18% สถานการณ์ต่อสู้ตามแนวชายแดนยังคงมีปัญหาตั้งแต่เม.ย-พ.ค.
โดยในหลักสากล ไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติ ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย ไม่มีหน่วยงานไหนอนุญาตให้มีการเบิกจ่าย และมีความจำเป็นชะลอโครงการพัฒนาที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร การที่ไทยยังสนับสนุนรัฐบาลที่ยังมาจากการรัฐประหารต่อ เป็นการส่งสัญญาณว่า เราให้คุณค่ากับการปกครองแบบไหน และ โครงการในเมียวดีไม่ได้ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการของธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย จึงเห็นว่าไม่มีจำเป็นต้องสนับสนุงบประมาณตรงส่วนนี้
ด้านนายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ขอสงวนคำแปรญัตติ ขอปรับลดงบประมาณ 5% ในเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีผู้บริหารกระทรวงการคลังแจ้งต่อที่ประชุมกมธ.ว่า ได้ใช้งบประมาณในการศึกษาเรื่องการเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเรื่องนี้ไทยออกกฏหมายห้ามการมีหรือเสพบุหรี่ไฟฟ้า และมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ทำให้ลดการสูบบุหรี่ลง จึงขอตัดงบกระทรวงการคลังไม่ให้ไปศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า
เรื่องต่อมา คือ การเก็บภาษีน้ำตาล ทางกระทรวงคลังยังไม่ดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนี้ช่วยเรื่องรายได้รัฐบาลและสามารถดูแลให้ประชาชนได้บริโภคอาหารที่ถูกลักษณะ และเรื่องค่าใช้จ่ายที่ควรตัดทอนลงไป ของสำนักหนี้สาธารณะ ที่จะมีจ่ายชำระเงินเพิ่มทุนของหน่วยงานค้ำประกันเครดิตและการลงทุนแห่งภูมิภาคอาเซียน+3 จำนวน 270 ล้าน ซึ่งจากสถานการณ์ในประเทศในขณะนี้ ควรจะมีการเจรจาเพื่อขอสงวนเงินไว้ก่อน เพราะเราต้องใช้จ่ายด้านอื่น
ส่วนการช่วยเหลือเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน ที่มีตั้งงบไว้ 589 ล้านบาท เป็นเงินที่ให้ผู้รับเหมาไปสร้างถนน สร้างสะพานในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเงินเหล่านี้ควรช่วยในลักษณะให้ทุนการศึกษามีผลดีต่อประเทศไทยมากกว่า
ด้านพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในฐานะกมธ. ได้ขอสงวนคำแปรญัตติ ขอปรับลดงบประมาณ 10% เนื่องจากกระทรวงการคลังมีเงินนอกงบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทเศษ แต่กระทรวงการคลังจัดหาสมทบเงินประมาณ 7 พันกว่าล้าน หรือ 31% และถือว่า รมว.คลัง ไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง ซึ่งในภาวะวิกฤตในขณะนี้ควรนำเงินนอกงบมาใช้จ่าย
และการใช้หน่วยงาน เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปจ่ายงบเกี่ยวกันบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ควรเป็นหน้าที่ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มากกว่า จึงควรมีปรับบทบาทของกระทรวงการคลัง