นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เป็นควันหลงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนเป็นที่มาของการปรับ 2 รัฐมนตรีให้พ้นตำแหน่ง และมีข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณของการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งการปรับคณะรัฐมนตรีจะต้องนับหนึ่งจากนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่นับหนึ่งจากคนที่อยากเป็นรัฐมนตรี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคงมีโผเข้ามามากมาย
"ต้องไปดูว่าเกิดจากอะไร ถ้าเกิดจากท่านนายกฯ ก็ต้องรับฟัง และถ้ามีอะไรที่จะต้องเกี่ยวพันกับประชาธิปัตย์ ท่านก็คงแจ้งให้ทราบ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้มีม่านกั้นอะไรระหว่างประชาธิปัตย์กับท่านนายกฯ ในการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา แต่ว่าถ้าเกิดจากความต้องการเป็นรัฐมนตรีของคนที่ 1-2-3-4-5 ก็คงมีหลายสูตร จะไปเอาอันนั้นมาเป็นตัวตั้งคงไม่ได้" หัวหน้า ปชป.ระบุ
ส่วนความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ จะส่งผลกระทบกับรัฐบาลจนทำให้ขาดเสถียรภาพหรือไม่นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้ แต่ขอเป็นกำลังใจให้พรรคพลังประชารัฐ สามารถคลี่คลายปัญหาภายในพรรคให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
"พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะฉะนั้นถ้าขลุกขลัก ก็อาจจะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้ นี่พูดตามข้อเท็จจริง แต่มันจะมีหรือไม่มีนั้น ไม่สามารถตอบได้ แต่ถ้าโดยหลักแล้ว ก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งได้" นายจุรินทร์กล่าว
ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองมีความเห็นไม่สอดคล้องกัน รวมถึงเหตุผลในการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า คงไม่สามารถตอบได้ และไม่ทราบว่าจะมีการยื่นหรือไม่ ซึ่งต้องรอดูและยังมีเวลา 15 วัน หากพ้นกำหนดจากนั้นไปก็ถือว่าไม่มีการยื่นแล้ว ซึ่งจะได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งเป็นเงื่อนไขตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้
ส่วนความเห็นที่ไม่ตรงกันในแต่ละพรรคการเมืองถือเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญไปในรูปแบบไหน บัตรใบเดียว หรือบัตรสองใบ พรรคการเมืองก็มีได้-มีเสียทั้งนั้น ถ้ามองแค่ประโยชน์พรรค กฎหมายรัฐธรรมนูญคงแก้ไขได้ลำบาก และหาจุดลงตัวหรือจุดบรรจบลำบาก ดังนั้นต้องไปดูในภาพรวม เพราะถ้ามองให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าไปสู่การที่จะทำให้ระบบพรรคการเมืองเข้มแข็ง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความเข้มแข็งขึ้นนั้น หากมองสองจุดนี้ จะทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยาก และเป็นการตัดสินใจเพื่อหลักการที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ประโยชน์ของแต่ละพรรคการเมือง
"ที่บอกว่าจะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้น ก็เพราะถ้าเป็นบัตร 2 ใบ บัตรใบที่ 1 ก็จะเลือกบุคคล คือเลือกตัวคนในเขต 400 เขต ใบที่สองก็จะเลือกพรรค เพราะฉะนั้นจะมีบัตรหนึ่งใบที่ให้ความสำคัญกับพรรคการเมือง พรรคการเมืองก็จะต้องแข่งขันกันปฏิบัติภารกิจที่เป็นที่พอใจของประชาชน เนื่องจากจะมีคะแนนพรรคอยู่ด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การทำให้พรรคการเมืองได้พัฒนาตัวเองขึ้นไป และเดินหน้าไปสู่ความเข้มแข็งขึ้นต่อไปในอนาคต เพื่อทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเข้มแข็งขึ้นต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นระบบบัตรสองใบมันชัดเจน แต่บัตรใบเดียวนั้น จะเลือกคนกับพรรคแยกจากกันไม่ได้ เอาพรรคมาบวกกับคน ก็เลยกลายเป็นว่าพรรคก็เหมือนจมหายไปใน 1 คะแนนนั้น" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว