พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแก่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า กรณีเมื่อกลางดึกที่ผ่านมามีการก่อเหตุเผาป้อมจราจรหลายจุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตนเองได้รับรายงานแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปรับยุทธวิธีกันไปตามสถานการณ์ แต่ต้องประเมินสถานการณ์ให้แม่นยำกว่านี้ เพราะจะเห็นว่ามีการกระจายตัวด้วยการยกระดับความรุนแรงนอกเหนือจากบริเวณแยกดินแดง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปรับยุทธวิธีการใช้กำลัง การบังคับใช้กฎหมาย และเรื่องการข่าว
ผบ.ตร.กล่าวว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุลงมือกระทำเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวาย กระทบต่อภาพลักษณ์ในเรื่องรักษาความปลอดภัย ความมั่นคง กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกประชาชน และหวังผลทางการเมือง ส่วนจะมีพัฒนาการที่รุนแรงกว่านี้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการจัดการของตำรวจ ซึ่งต้องจัดการให้ได้
ผบ.ตร.กล่าวว่า การกระทำแบบนี้ไม่ใช่อาชญากรทั่วไป จะเห็นว่าตั้งแต่สิงหาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีการจับกุมผู้ก่อเหตุกว่า 400 ราย ทุกครั้งที่จับเขาจะมีความรู้เทคนิคข้อกฎหมายต่างๆ มากขึ้น เห็นจากมีฝ่ายกฎหมายที่พร้อมปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง พอมีคนโดนจับจะมาทันที ตอนนี้ได้พูดคุยกับฝ่ายสอบสวนว่า การบังคับใช้กฎหมายให้ดูเรื่องฐานความผิดอื่นๆ ถ้ามีองค์ประกอบความผิดอื่น เช่น อั้งยี่ ซ่องโจร ให้ไปรวบรวมพยานหลักฐานมา
ด้านพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ในฐานะโฆษกบช.น. กล่าวว่า จากการชุมนุมในวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ของกลุ่มทะลุแก๊ส ที่แยกดินแดง เวลา 18.20 น. เริ่มมีการนำยางรถจักรยานยนต์มาเผาบริเวณบน ถ.วิภาวดีขาออก และมีการนำป้าย มาผูกขวางถนนบริเวณใต้ทางด่วน ต่อมาเวลา 20.30 น. มีการนำแผงเหล็กปิดกั้นการจราจร และ จุดไฟเผาทรัพย์สินบริเวณใต้ทางด่วน ทำให้กีดขวางการจราจร และประชาชนในละแวกได้รับ ความเดือดร้อน เวลา 21.20-23.00 น. มีการขว้างปาประทัด ยิงหนังสติ๊ก พลุไฟ ระเบิดต่างๆเป็นระยะๆเพื่อยั่วยุเจ้าหน้าที่บริเวณฝั่งถนนมิตรไมตรีและหน้ากรมดุริยางค์ทหาร เวลา 23.20 น. ได้มีกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวายดังกล่าวบางส่วนทำการฉีดสีสเปรย์ใส่เกาะกลางถนนวิภาวดีขาเข้าเป็นเหตุให้มีทรัพย์สินสาธารณประโยชน์เสียหาย
นอกจากนั้นตั้งแต่เวลา 00.30 - 02.40 น. ยังมีกลุ่มผู้ก่อเหตุขับขี่รถจักรยายนต์จำนวน 15-20 คัน ตระเวนทุบทำลายและเผาป้อมจราจร อีกจำนวน 6 จุด ได้แก่ สน.บางซื่อ 3 จุด ที่แยกสะพานควาย ,แยกประดิพัทธิ์ และด่วนระนอง สน.ลุมพินี 1 จุด ที่แยก ราชประสงค์ และสน.พญาไท 1 แห่ง คือ แยกอุรุพงษ์ และ สน.มักกะสัน 1 จุด ที่แยกมิตรสัมพันธ์ ซึ่งจะได้สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานหาตัวผู้กระทาผิดมาดำเนินคดีต่อไป ซึ่งการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวเป็นความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ (ป.อาญา ม.215) ,เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้ผู้ที่มั่วสุม เลิกแล้วไม่เลิก (ม.216), วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น (ม.217) ,ทำให้เสียทรัพย์ (ม.358), ฝ่า ฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ออกนอกเคหสถานในเวลาห้าม (21.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น) และความผิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตำรวจปล่อยให้ก่อเหตุตำรวจสามารถดูแลได้หรือไม่นั้น พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า มั่นใจว่าตำรวจเอาอยู่ทั้งมาตรการบังคับใช้กฎหมายกับการกระทำผิดแต่ละกลุ่ม ทางตำรวจมีมาตรการตามปกติเพื่อวางมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อสามเหลี่ยมดินแดงก่อเหตุได้น้อยลงจึงเปลี่ยนไปจุดอื่น เมื่อได้รับคงามร่วมมือจากประชาชนผู้ก่อเหตุไม่สามารถก่อเหตุได้จึงเปลี่ยนไปก่อเหตุที่อื่นจึงต้องมีมาตรการติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวอีกด้วยว่า จากกรณีที่มีเพจเฟซบุ๊ก "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ได้โพสต์ข้อความ เชิญชวนให้มาร่วมชุมนุมในวันที่ 1,2,7 และ 10 ส.ค. แล้วทำให้มีผู้ออกมาชุมนุมและก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น เจ้าหน้าที่ตารวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอให้ศาลออกหมายจับแอดมินเพจดังกล่าว จำนวน 2 คน จับกุมตัวไปก่อนหน้านี้แล้วเมื่อวันที่ 17 ก.ย. จำนวน 1 คน และต่อมาในวันที่ 22 ก.ย.ได้ทำการจับกุมเพิ่มอีก 1 คน คือ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1506/2564 ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา14(3) นำเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงฯ และตาม ป.อาญา มาตรา116(3) ยุยงปลุกปั่นเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยทาง บช.น. จะดำเนินการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ในบ้านเมืองมาดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย ซึ่งหากเยาวชนได้กระทาความผิด ผู้ปกครองอาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ด้วยเช่นกัน ส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแต่เดือนกรกฎาคม2564 ที่ผ่านมาจนถึง ปัจจุบันรวมทั้งสิ้น 220 คดี มีผู้ต้องหาทั้งหมด 808 คน ติดตามจับกุมตัวได้แล้ว 563 คน