นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขตหลักสี่ หลังนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นส.ส. ว่า เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคที่จะเป็นคนตัดสิน โดยจะมีการนัดหมายเพื่อหารือกันในวันนี้
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สำหรับเขตหลักสี่เป็นพื้นที่เดิมของพรรคเพื่อไทย โดยแพ้การเลือกตั้งในปี 62 ไม่กี่คะแนน โดยได้ 32,000 กว่าคะแนน ถือว่าเป็นคะแนนที่ดีมากสำหรับการเลือกตั้งในกทม. หากตรวจสอบดูจะพบว่าในกทม. พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร 20 เขต ได้ 32,000 กว่าคะแนนเป็นอันดับ 3 ของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งใน กทม. นั่นคือฐานคะแนนเดิมที่มีอยู่
นอกจากนี้ นายสุรชาติ เทียนทอง อดีตผู้สมัครส.ส. ก็ทำหน้าที่ผู้แทนของประชาชนอยู่ในเขตเลือกตั้งตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นภาพอย่างหนึ่งที่นำเข้าสู่กระบวนการตัดสิน หากพรรคไม่ส่งเลือกตั้งก็จะตอบคำถามประชาชนไม่ได้ และพรรคก็จะสูญเสียโอกาส
พร้อมมั่นใจว่า นายสุรชาติ มีคุณสมบัติสู้นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ หรือ เจ๊หลี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรค พปชร. ภรรยาของนายสิระ ได้ และเชื่อมั่นว่าจะสามารถชิงเก้าอี้คืนกลับมาได้แม้จะมีคู่แข่ง ซึ่งพรรคที่เกี่ยวข้องน่าจะส่งทั้งหมด สายประชาธิปไตยอย่างน้อย 2 พรรค
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ประกาศไม่ส่งผู้สมัคร ส.ส. เขตหลักสี่ เพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านตัดคะแนนกันเองนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องขอบคุณหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยที่ประกาศออกมาชัดเจน หากฝั่งประชาธิปไตยมียุทธศาสตร์การเลือกตั้งเพื่อชนะอีกฝ่ายหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ ก็เป็นการแสดงออกในเชิงยุทธศาสตร์และเป้าหมาย
ส่วนความกังวลเรื่องอำนาจอื่นที่จะมาแทรกแซงหรือไม่นั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จากการเลือกตั้งปี 62 ที่ผ่านมาเจอการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย มีอำนาจอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ อำนาจเงิน และอำนาจการจัดการ ซึ่งนั่นเป็นการเลือกตั้งทั่วไปเขายังทำได้ ดังนั้นการเลือกซ่อม เขาทำได้มากกว่านั้น และจะเข้มข้นมากขึ้นในพื้นที่นี้ที่เป็นพื้นที่เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง ไม่ใช่แต่ได้ส.ส.จากการเลือกตั้งซ่อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังวัดกันในอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องความนิยมของพรรคการเมืองในพื้นที่กทม. และวัดอนาคตคนที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.ด้วย