นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายสุรชาติ เทียนทอง ว่าที่ส.ส.กทม.เขตหลักสี่-จตุจักร ประกาศชัยชนะเลือกตั้งซ่อมหลังที่ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการมาเป็นอันดับ 1
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอบคุณประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 9 จตุจักร- หลักสี่ ให้มอบคะแนนให้นายสุรชาติ และผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้บ่งบอกถึงทิศทางทางการเมือง และนี่เป็นชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล มากกว่าพรรคที่สนับสนุนรัฐบาล ชูการสนับสนุนรัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยได้คะแนนรวมกันมากกว่า 60% ของผู้มาใช้สิทธิ
และชัยชนะครั้งนี้ เป็นบันไดก้าวแรก ที่ชี้ให้เห็นทิศทางทางการเมืองว่าประชาชนต้องการขับไล่เผด็จการในการสืบทอดอำนาจ ให้ได้รับโอกาสและมีความหวังในชีวิตอีกครั้ง และบันไดก้าวแรก ครั้งนี้ก็อยากจะบอกกับผู้บริหารประเทศว่า สิ่งที่รัฐบาลสร้างผลงานมาเป็นความล้มเหลวที่ทำให้ประชาชนไม่ต้องการ
สำหรับนายสุรชาติ เป็นผู้สมัครที่พรรคภูมิใจมาก เพราะทุ่มเทการทำงานอย่างมั่นคง ทำให้พรรคมีความมั่นใจและชัยชนะครั้งนี้ ถือเป็นการทำงานที่เข้มแข็ง ทำให้ได้รับชัยชนะ และยืนยันว่าจะรับใช้ประชาชนให้ดีที่สุด
นายสุรชาติ บอกว่า ขอบคุณทุกคะแนนเสียงในเขตหลักสี่-จตุจักร ที่ให้โอกาส ทุกคะแนนมันไม่สามารถบ่งบอกความรู้สึกได้จริงๆ ขอบคุณพรรคเพื่อไทย ตนคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ให้โอกาส
และขอย้ำว่า ตนเองมุ่งมั่นตั้งใจ ในการที่ตนมีโอกาสดำรงตำแหน่ง ก็จะทำให้มีคุณค่าตามที่ทุกคนไว้วางใจ และยืนยันว่าจะเป็นผู้แทนราษฎรของทุกคนทั้งคนที่เลือกและไม่เลือกอย่างเท่าเทียม จะทำหน้าที่ทั้งในสภา และนอกสภาให้ดี
ด้านนายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย (พท.) ชี้ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 กรุงเทพฯ จตุจักร-หลักสี่ ซึ่งนายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครของ พท.ชนะด้วยคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ 29,416 คะแนน ตามมาด้วยพรรคก้าวไกล 20,361 คะแนน ขณะที่พรรคพลังประชารัฐได้เพียง 7,906 คะแนน
ผลเลือกตั้งซ่อมดังกล่าวจะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อไทยมาอันดับ 1 และพรรคก้าวไกลมาอันดับ 2 ซึ่งเป็นพรรคฝั่งประชาธิปไตย รวมคะแนนเสียงแบบไม่เป็นทางการแล้วมีถึง 49,777 คะแนน โดยทิ้งห่างพรรคที่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างมาก แสดงถึงเจตนารมณ์ของคนกรุงเทพมหานครที่อยากเห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งอยากส่งสัญญาณไปถึงสมาชิกวุฒิสภาว่าสมควรจะต้องพิจารณาตัวเองยกเลิกการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และให้เสียงจากตัวแทนที่ประชาชนเลือกมาเท่านั้นเป็นผู้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อบริหารประเทศ ให้ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อฟื้นความมั่นใจของต่างประเทศที่ยังไม่เชื่อมั่นและยังไม่ยอมมาลงทุนในประเทศไทย
"ผลเลือกตั้งซ่อมฯ เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าหมดเวลาที่จะบริหารประเทศนี้แล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้บริหารต่อไปแล้ว ประชาชนเอือมระอากับความล้มเหลวซ้ำซากตลอด 7 ปี ประชาชนต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อให้ประเทศก้าวหน้าต่อไปได้ พล.อ.ประยุทธ์ อย่าได้ถ่วงการพัฒนาของประเทศนี้อีกต่อไปเลย 7 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยก็ล้าหลังอย่างมากแล้ว และควรจะยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่โดยเร็วได้แล้ว เพื่ออนาคตที่ดีขึ้นของประเทศไทย เพราะถึง พล.อ.ประยุทธ์ จะพยายามลากอยู่ต่อไปก็จะแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ อีกทั้งความขัดแย้งในฝั่งรัฐบาลเองก็จะมากขึ้น สุดท้ายก็จะไปไม่รอดอยู่ดี" นายพชร กล่าว