นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบกระทู้ถามสดของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ถึงการแก้ปัญหากรณีน้ำมันดิบรั่วลงทะเลในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง จากท่อใต้ทะเลของทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเลของ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบคำพูดของ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรมว.อุตสาหกรรม ที่ให้สัมภาษณ์วันเกิดเหตุว่า ไม่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและประชาชน ซึ่งมองว่าเป็นการปกป้องบริษัทเอกชนและไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติว่า ยืนยันว่าไม่มีทางปกป้องบริษัทฯ และจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับการใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อแก้ปัญหา
ส่วนกรณีตัวเลขปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลมีปริมาณลดลงจากระดับแสนลิตรเหลือหมื่นลิตรนั้น เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลากลางคืน จึงไม่สามารถตอบได้ เพราะไม่ได้ขนถ่าย ดังนั้นต้องอาศัยข้อมูลที่บริษัทให้มา
"จากเหตุการณ์น้ำมันรั่ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ลงพื้นที่ไม่พบคราบน้ำมันที่เห็นด้วยตาเปล่า เพราะน้ำมันกระจาย แตกตัวลงสู่ทะเล ป้องกันคราบน้ำมันขึ้นหาดที่อ่าวพร้าว แม่รำพึงได้ หรือที่ขึ้นได้ซับคราบและนำไปกำจัด และป้องกันอีกหลายจุด" นายวราวุธ กล่าว
สำหรับกรณีการใช้สารเคมีจะมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารในทะเล และกระทบกับระบบนิเวศน์ ธรรมชาติ และชาวประมงนั้น นายวราวุธ กล่าวว่า สารที่ใช้กำจัดน้ำมัน มีองค์ประกอบไฮโดรคาร์บอนที่สามารถรวมตัวกับน้ำ และรวมกับน้ำมันได้ เมื่อสารควบรวมแล้วจะทำให้น้ำมันแตกตัวลงระดับที่ตาเปล่ามองไม่เห็นทำให้จุลินทรีย์ในทะเลกัดกินก้อนน้ำมันขนาดเล็ก 1-2 เดือนและย่อยสลาย ส่วนระยะยาวจะเป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่ จะนำไปสอบถาม แต่เบื้องต้นพบว่า สารที่ใช้ปลอดภัยระดับหนึ่ง เพราะเป็นฟู้ดเกรด ไม่ต่างจากน้ำยาล้างจานที่ใช้ในครัวเรือน โดยใช้สารดังกล่าวไป 8.5 หมื่นลิตรกับปริมาณน้ำมันดิบรั่ว 5 หมื่นลิตร เพราะต้องใช้สารฉีดดักไว้ก่อน แผนฟื้นฟูที่ดีที่สุดคือจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ธรรมชาติทรงพลัง หากให้เวลาธรรมชาติจะฟื้นฟูด้วยตัวเอง