นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรกล่าวถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลไม่ปฏิบัติตามมติพรรคร่วมฝ่ายค้านเรื่ององค์ประชุมว่า ยืนยันว่าไม่มีปัญหา เนื่องจากเป็นวิธีการทำงาน ตนเองมองว่าไม่มีดราม่าอะไรให้เกิดความขัดแย้งทั้งสิ้น หลักประชาธิปไตยยิ่งเห็นต่างยิ่งดี แต่ในความเห็นต่างต้องมีข้อสรุปให้ชัดเจน เพื่ออธิบายให้ประชาชนได้ ซึ่งมีหลายคนไปทำให้ประชาชนมองฝ่ายค้านว่าไม่ทำงาน จึงต้องทำความเข้าใจว่านี่คือการทำงาน เป็นการตรวจสอบ
ทั้งนี้ฝ่ายค้านจะตรวจสอบเข้มข้นด้วยวิธีการตรวจสอบองค์ประชุมในภาวะที่การเมืองอยู่ในวิกฤต ชี้ให้เห็นสัญญาณว่าเสียงข้างมากในสภาฯไม่ได้เป็นเสียงข้างมากจริง องค์ประชุมของฝ่ายรัฐบาลไม่เคยเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ 237 เสียง ซึ่งพยายามประเมินอยู่ตลอด หากเป็นเช่นนี้จะขัดต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอเรียนประชาชนว่าฝ่ายค้านมาประชุมทุกคน และการตรวจสอบส.ส. ฝ่ายรัฐบาลก็เป็นหน้าที่ฝ่ายค้านโดยตรง เราเคยพูดกันว่าหากรัฐบาลไม่พร้อมทำงาน เราก็ทำงานร่วมกับฝ่ายรัฐบาลที่มีเสียงข้างน้อยไม่ได้ และเสียงข้างน้อยจะเป็นเสียงข้างมากไม่ได้ ซึ่งไม่ชอบด้วยหลักของการทำหน้าที่ แต่เราก็มีข้อยกเว้นเช่น หากมีกฎหมายสำคัญบางเรื่องอาจจะมีมติเป็นเฉพาะไป
"ฐานะที่ผมเป็นผู้นำฝ่ายค้านขอรับผิดว่าอาจจะทำให้เกิดความสับสนได้ เราให้สิทธิแต่ละพรรคการเมืองเป็นผู้ตัดสินใจว่าเรื่องไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ และไม่ก้าวล่วงมติพรรคซึ่งกันและกัน หลังจากนี้ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานโดยเน้นหลักทั่วไปว่าเราเห็นพ้องต้องกัน แต่หลักการเฉพาะเช่น ตัวเนื้อหาและตัวกฎหมายเราต้องเคารพสิทธิ ฉะนั้นปัญหาเป็นอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้นด้วย"
ทั้งนี้ ในวันนี้จะนำเรื่องนี้หารือกันในที่ประชุมหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน ส่วนรายละเอียดเป็นหน้าที่ของวิปฝ่ายค้านที่ต้องหารือกันว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญอย่างไร และสอดรับต่อภาพรวมหรือไม่
ด้านนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงเหตุสภาล่มว่า อาจเกิดจากความไม่เข้าใจกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ส่วนที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงในโซเชียล นายพิจารณ์ ระบุว่า ด้วยความที่เป็นคนละพรรค แต่หลังจากนี้ก็จำเป็นต้องหาจุดร่วม เพื่อให้เสถียรภาพฝ่ายค้านเข้มแข็งที่สุด ท่ามกลางภาวะ ที่รัฐบาลแทบจะประคองไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องพูดคุยกันระหว่างพรรคร่วม เพื่อแสวงหาแนวที่ที่เป็นการปฏิบัติว่า วาระใด พรรคใด มีจุดยืนอย่างไร