พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางมาร่วมประชุมพรรคครั้งแรกหลังจากพรรคมีมติขับ 21 ส.ส.ออกจากพรรค และแพ้เลือกตั้งซ่อม โดยได้ตอบคำถามถึงกระแสข่าวเตรียมไปทำหน้าที่เป็น รมว.มหาดไทยว่า ไม่เป็นความจริง ส่วนการไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทยนั้น ยังไม่มีใครให้ไปตรงไหน
พล.อ.ประวิตร ยังปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกรณีนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วย รมต.ประจำนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค พปชร.เพื่อไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ให้ไปสอบถามจากนายเสกสกลเอง และไม่ขอตอบว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคการเมืองสำรองหรือไม่
ด้านน.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต 2 ในฐานะโฆษกพรรค พปชร.กล่าวถึงผลการประชุมพรรควันนี้ว่า พล.อ.ประวิตร ได้ยืนยันในที่ประชุมว่า พรรคยังมีความเหนียวแน่นกลมเกลียว ยังคงเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชน เพื่อสถาบัน และเพื่อประโยชน์ต่อประเทศ และพยายามทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองต่อไป
พร้อมทั้งให้ ส.ส.พรรคเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในครั้งหน้า ซึ่งมั่นใจว่าจะได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 150 ที่นั่ง และจะเป็นพรรคหลักที่จะขับเคลื่อนผลงานภายใต้การทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
พล.อ.ประวิตร ยังได้ย้ำการทำหน้าที่ในการประชุมสภาฯ และการทำหน้าที่ในพื้นที่ที่ต้องลงไปรับฟังปัญหาของประชาชน เพื่อนำมาหารือในที่ประชุมพรรคและจัดทำเป็นนโยบายพรรคต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการแต่งตั้งนายสันติ พร้อมพัฒน์ ทำหน้าที่เลขาธิการพรรคแทนตำแหน่งที่ว่างลง และนายสุชาติ ชมกลิ่น ทำหน้าที่ผู้อำนวยการพรรค และแต่งตั้งนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เป็นรองหัวหน้าพรรรค
ด้านนายสันติ กล่าวถึงเป้าให้ได้ ส.ส.จำนวน 150 คนว่า ขณะนี้มีแต่คนแสดงความจำนงอยากเป็นสมาชิกพรรค ซึ่ง ส.ส.ที่จะเข้ามาอยู่ในพรรคจะมีทั้งคนใหม่และคนเก่า
ส่วนที่มีข่าวสมาชิกทยอยลาออกนั้น เป็นการพูดเกินไป ตนยังไม่เห็นการทยอยลาออกเลย คนที่ออกส่วนใหญ่ไม่กระทบกระเทือนพรรค เพราะเป็นสมาชิกไม่ได้เป็น ส.ส. ดังนั้นการที่สมาชิกเข้าๆ ออกๆ เป็นเรื่องปกติ เท่าที่เห็นก็มีการออกไปตั้งพรรค ซึ่งก็เป็นสิทธิของเขา
นายสันติ กล่าวว่า ขณะนี้ตนรับตำแหน่งเลขาธิการพรรค ส่วนการประชุมใหญ่ในเดือน เม.ย.65 จะได้รับตำแหน่งไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่จะเห็นว่าใครทำงานได้ ซึ่งตนก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่ได้ยึดติด เช่น ขณะนี้ตั้งรักษาการก็ทำงานเต็มที่ เพราะเราเป็นสมาชิกพรรค ส.ส.ของพรรค รักพรรคเหนือกว่าสิ่งใด เราต้องขับเคลื่อนพรรค เป็นที่ตั้ง ที่พึ่งของประชาชนให้ได้
"วันนี้ได้บอกให้ ส.ส.ทุกคนลงพื้นที่ไปดู และรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนว่า เขาอยากให้พรรค ให้ ส.ส.ของเขาไปแก้ไขปัญหาอะไร พัฒนาอะไร เราจะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของลูกหลานของเขาได้อย่างไร เพิ่มความรู้ความสามารถ และเมื่อเติบใหญ่จะได้มารับไม้ต่อจากพวกเรา โดยเป็นบุคคลที่มีคุณภาพสูง รองรับการแข่งขันกับนวัตกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้" นายสันติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ไม่ใช่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง แต่เป็นหน้าที่ของ ส.ส.อยู่แล้วซึ่งตนเป็น ส.ส.มากว่า 20 ปี จึงรับรู้สิ่งที่ประชาชนต้องการ ซึ่งได้นำมาถ่ายทอดให้ ส.ส.ลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่ประชาชนอยากให้รัฐบาล หรือพรรคสนับสนุนในพื้นที่ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ ยกระดับการสร้างงานสร้างอาชีพ โดยมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภาค