นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ จะไม่ถึงขั้นเขย่าเสถียรภาพรัฐบาล แต่ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ขอฝ่ายค้าน ซึ่งตนสนับสนุนเพราะเคยเป็นทั้งฝ่ายค้านรัฐบาล เมื่อเขามีหน้าที่เป็นฝ่ายค้านเขาก็มีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล การยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ เพราะเขาไม่ไว้วางใจยังทำในสมัยประชุมนี้ไม่ได้ ถือเป็นสิทธิที่เขาทำได้ เราก็ต้องสนับสนุน ส่วนจะตรวจสอบประเด็นไหน รัฐบาลก็มีหน้าที่ชี้แจง
สำหรับเสถียรภาพรัฐบาลในสถานการณ์ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ 2 ประเด็น 1. สถานการณ์ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) 2. สถานการณ์ในสภา ซึ่งสำหรับคณะมนตรีนั้น คงจะเห็นความคืบหน้าว่านายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็ได้พยายามหาทางคลี่คลายปัญหาไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ส่วนในสภาผู้แทนราษฎรเป็นหน้าที่ของวิปในการที่จะต้องไปดำเนินการเพื่อให้สภาเดินหน้าต่อไปได้ นำกฎหมายรัฐบาลให้ผ่านความเห็นชอบของสภาไปให้ได้ เพราะกฎหมายเป็นเครื่องมือของการเดินหน้านโยบาย และนโยบายบางอย่างต้องอาศัยกฎหมายจึงทำได้
"วิปรัฐบาลต้องมีหน้าที่เข้าไปช่วยผลักดันกฎหมายให้ผ่าน ผมก็เห็นใจวิป เพราะเขาทำหน้าที่มาเต็มที่แล้ว วิปประชาธิปัตย์ก็ช่วยเป็นหลัก เป็นแรงกำลังสำคัญให้กับวิปรัฐบาลอยู่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับ คุณชินวรณ์ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก รวมทั้งวิปคนอื่นด้วย" นายจุรินทร์กล่าว
นายจุรินทร์ ยังได้กล่าวตอบข้อซักถามถึงความพร้อมของพรรค หากเกิดการยุบสภาว่า ก็ต้องพร้อม ที่จริงก็พร้อมมาระดับหนึ่งแล้ว เพราะเราอยู่ในวงการเมือง พออ่านการเมืองออก และพอเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าว่า สิ่งหนึ่งที่พรรคจะต้องเดินหน้าต่อไป ก็คือการเตรียมการเรื่องนโยบาย เพื่อใช้นำเสนอในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งก็มีความคืบหน้ามากแล้ว เพราะพรรคมีประสบการณ์และมีนโยบายที่เป็นฐานรากของพรรคมาโดยต่อเนื่องซึ่งจะได้ต่อยอดต่อไป ที่สำคัญก็คือนโยบายของประชาธิปัตย์จะเป็นนโยบายที่จับต้องได้ เป็นนโยบายที่แก้ปัญหาจริงได้ และจะต้องทำได้ไว ทำได้จริง อย่างที่ได้กำหนดไว้
อีกส่วนหนึ่งที่พรรคได้เตรียมการมาโดยลำดับคือเรื่องตัวบุคคลที่จะเป็นผู้สมัครในหลายภาค ซึ่งเกือบจะเรียกว่าจบทั้งหมด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็มีตัวแล้ว ส.ก. ก็ครบทั้ง 50 เขตแล้ว ผู้แทนราษฎรเที่ยวหน้า ถ้าเพิ่มจาก 30 เป็น 33 เขต ก็จะหาคนเพิ่มอีกไม่กี่คน ที่ผ่านมาก็เคาะไป 20 กว่าคนแล้ว ส่วนภาคใต้ตอนนี้ยังขาดเพียงไม่กี่จังหวัดเท่านั้น ภาคเหนือผู้แทนเก่าก็ยังอยู่กับพรรคหมด ไม่มีใครแตกออกไปและมีคนรุ่นใหม่เติมเข้ามาด้วย ภาคอีสานก็มีคนใหม่ ๆ เข้ามาหลายคน ภาคกลางก็ได้มาอีกหลายจังหวัด เมื่อไม่กี่วันนี้ก็เคาะไปอีก 1 จังหวัด เพิ่มจาก 3 เขต เป็น 4 เขต ได้ตัวครบแล้วและเป็นผู้ที่มีศักยภาพมาก
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในการพิจารณาตัวผู้สมัครของพรรคอาจจะใช้เวลานานขึ้น และขั้นตอนการพิจารณาอาจจะยากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา เพราะมีผู้สนใจและเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งมากขึ้น แทนที่เขตนึงจะมีผู้สนใจ 1 คน หรือมีคนเก่าอยู่คนเดียว หรือมีคนใหม่เข้ามาคนเดียว กลายเป็นว่ามี 2 - 3 คนพรรคก็อาจจะต้องใช้ดุลยพินิจ และก็จะต้องพิจารณาไปตามขั้นตอนกระบวนการข้อบังคับให้มีความชัดเจน ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค
"การได้ที่นั่งก็จะนำไปสู่การที่จะสามารถนำนโยบายของพรรคไปปฏิบัติให้เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้ จึงต้องพิจารณาไปตามหลักนี้ โดยยึดข้อบังคับพรรคเป็นขั้นตอนกระบวนการพิจารณา"