(เพิ่มเติม) เครือข่ายองค์กรประชาชนบุกห้องประชุมสนช.เรียกร้องลาออกเพื่อความชอบธรรม

          เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนคนบุกเข้าไปอยู่บริเวณสถานที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในขณะนี้ โดยมีนายจอน อึ้งภากรณ์ เป็นแกนนำของกลุ่มเรียกร้องให้สนช.ลาออก สร้างความปั่นป่วนจน สนช.ต้องยุติการประชุมชั่วคราว ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจเกือบ 50 นาย ต้องเข้าคุมสถานการณ์ ขณะที่ผู้ร่วมเครือข่ายนับพันชุมนุมปิดล้อมหน้าบริเวณทางเข้าออกรัฐสภา
          กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้สมาชิก สนช.ลาออก เพราะมองว่าไม่มีความชอบธรรมหาก สนช.จะพิจารณากฎหมายต่างๆ หลายฉบับในขณะนี้ โดยวันนี้ สนช.มีวาระที่จะต้องพิจารณากฎหมายต่างๆ ประมาณ 40 ฉบับ 
          นายจอน อึ้งภากรณ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งร่วมชุมนุมอยู่ด้านข้างห้องประชุมสภาฯ กับกลุ่มผู้ชุนนุมประมาณ 50 คนที่ถูกล้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนพร้อมอุปกรณ์ป้องกันตัวและกระบอง กล่าวว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาวันนี้ต่างมากันด้วยมือเปล่า ไร้ซึ่งอาวุธใดๆ แต่กลับถูกห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เตรียมพร้อมจะใช้ความรุนแรง
          "เราประสบความสำเร็จในการเข้ารัฐสภา และสามารถทำให้ สนช.ยุติการประชุมได้" นายจอน กล่าวหลังจากที่ประชุม สนช.ต้องพักการประชุมชั่วคราวไปเมื่อเวลาประมาณ 11.40 น.
          นายจอน ระบุว่า การพิจารณากฎหมายต่าง ๆ ของสนช.ครั้งนี้ ถือเป็นการพิจารณาแบบทิ้งทวน ซึ่งเนื้อหาของกฎหมายส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาที่เพิ่มอำนาจรัฐ และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้ง ๆ ที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในไม่กี่วันนี้ แต่ สนช.ยังดื้อดึงที่จะพิจารณากฎหมายต่อไป โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งเสมือนเป็นการสถาปนาอำนาจของทหาร ตลอดจนการผลักดันให้มีการออกกฎหมายเพื่อให้มหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบ
          พร้อมกับยืนยันว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะปักหลักประท้วงอยู่บริเวณหน้าห้องประชุมสภาฯ ต่อไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปว่าวันนี้ สนช.จะยกเลิกการประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายต่างๆ ที่ยังค้างอยู่ โดยเฉพาะให้ยกเลิกการพิจารณากฎหมายสำคัญ 7 ฉบับที่อาจละเมิดสิทธิและเสรีภาพประชาชน ซึ่งฉบับสำคัญที่สุด คือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  
          นายไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการ สมาคมสิทธิเสรีภาพประชาชน(สสส.) กล่าวว่า สนช.ชุดนี้มาจากการแต่งตั้งของคณะทหาร และออกกฎหมายโดยไม่รับผิดชอบต่อประชาชน จึงต้องการให้ สนช.ยุติการผลักดันกฎหมายที่ยังค้างอยู่และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสภาชุดใหม่ พร้อมขอให้ สนช.พิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่ง