นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวปราศรัยบนเวทีบริเวณลานจอดรถท่าเรือแหลมบาลีฮายว่า นายกิตติศักดิ์ หรือบ๊อบ เป็นคนพัทยาโดยกำเนิด และเป็นเจ้าของธุรกิจ รวมถึงเคยมีประสบการณ์ทำงานในภาคการเงินการลงทุนกับธนาคารระดับโลก
"ผมเชื่อในศักยภาพของเขา เขาจะทำได้ดี ทำให้เมืองพัทยาของทุกท่านน่าอยู่กว่านี้ ให้ทรัพยากรของเมืองพัทยาไม่ได้ถูกใช้ไปดูแลแค่นักท่องเที่ยว แต่จะโอบรับทุกคนให้เติบโตไปพร้อมกับเมืองพัทยา และเขาเข้าใจความเจ็บปวดของทุกท่าน ทั้งผู้สมัครนายกเมืองพัทยาและสมาชิกสภาเมืองพัทยาของเราคือคนที่มีความมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงบ้านเกิด ที่ไม่ใช่เครือข่ายผู้มีอิทธิพล แต่เป็นคนที่บ้านน้ำท่วม ที่ร้านปิดเจ๊งช่วงโควิด นี่คือผู้สมัครของคณะก้าวหน้า" นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวว่า เป็นเวลานานสิบปีแล้วที่ชาวพัทยาไม่ได้เลือกตัวแทนมาบริหารเมืองพัทยาที่มีประชากรกว่า 117,000 คน แต่มีประชากรแฝงจากทุกภูมิภาคมาหาทำมาหากินที่เมืองพัทยารวมแล้วราว 6 แสนคน มีทรัพย์สินที่มีศักยภาพมากมายทั้งเกาะล้าน สถานบันเทิงขึ้นชื่อระดับโลก ชายหาดที่สวยงาม กีฬาทางน้ำที่ขึ้นชื่อ ประชากรประกอบอาชีพหลากหลาย ทำให้เมืองพัทยามีศักยภาพที่จะไปไกลกว่านี้ได้
ขณะที่ผลผลิตทางเศรษฐกิจของจังหวัดชลบุรีเฉลี่ยออกมามีรายได้ต่อหัวประชากรอยู่ที่ 47,000 บาท/เดือน แต่ถามว่ามีใครบ้างที่มีรายได้ถึงค่าเฉลี่ยของจังหวัดชลบุรีบ้าง นั่นแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเมืองที่ผ่านมาไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่มากพอสำหรับคนพัทยาจริง ๆ
"ที่ผ่านมาเราเห็นพัทยาที่สวยงาม เราย่อมคิดว่าคุณภาพชีวิตของเมืองพัทยาน่าจะดี แต่พอได้พูดคุยกับผู้ประกอบการโรงแรม ผับ บาร์ พ่อค้ารายเล็กรายย่อย ทุกคนมีปัญหาหมด ทั้งเรื่องการขุดเจาะถนนที่มีตลอดเวลา ฝนตกหนักสองชั่วโมงน้ำก็ท่วมแล้ว การเดินทางในเมืองพัทยาก็ไม่สะดวก พัทยาที่สร้างรายได้ให้ประเทศมากมายมหาศาลเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก แต่กลับมีปัญหาด้านการบริการสาธารณะเต็มไปหมด นั่นยิ่งทำให้การเลือกตั้งนายกเมืองพัทยาและสภาเมืองพัทยามีความหมายมากกว่าเดิม" นายธนาธร กล่าว
ด้านนายกิตติศักดิ์ ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์และนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงเมืองพัทยาว่า วิกฤตโควิด-19 ทำให้พัทยาที่ไม่เคยหลับไหลกลายเป็นเมืองที่เงียบสงัด ตนเห็นธุรกิจล้มละลาย คนตกงาน ชาวพัทยาต้องจมอยู่กับความสิ้นหวังเพราะทำมาหากินไม่ได้ โดยที่นายกเมืองพัทยาไม่ได้ทำอะไรเพื่อต่อชีวิตและลมหายใจคนพัทยาเลย
ทุกคนทราบกันดีว่าพัทยา อยู่ภายใต้ผู้บริหารจากกลุ่มการเมืองเดิมมายาวนานนับ 20 ปี และได้ต่ออายุด้วยมาตรา 44 ซึ่งตนอยากชวนทุกคนตั้งคำถามว่างบประมาณเมืองพัทยาที่มาจากเงินภาษีของพวกเรา เฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านบาทหายไปไหน และได้อะไรกลับมาตอบแทนชีวิตคนพัทยาบ้าง
สำหรับนโยบายเร่งด่วนของเมืองพัทยา คือหยุดการขุดถนน และเร่งฟื้นฟูเมืองสภาพของเมืองพัทยาให้กลับมาในทันที เร่งทุกการขุดให้จบเร็วที่สุด ทำให้เมืองพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งถนน ทางเท้า ชายหาด สวนสาธารณะ และแหล่งท่องเที่ยวเมืองพัทยาให้พร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างถาวร
นโยบายสำคัญอีกประการหนึ่ง คือตนจะเปลี่ยนเมืองพัทยาเป็นเมืองที่เข้าถึงได้ด้วยการเดินเท้า ทำให้การสัญจรเข้าถึงร้านค้าริมทาง มีลูกค้าผ่านหน้าร้านมากขึ้น เพิ่มรายได้ให้แก่ร้านค้าต่าง ๆ และการจัดระเบียบ zoning ใหม่ให้ผู้ประกอบการมีโอกาสทำมาหากินมากขึ้น
ที่สำคัญ คือการจัดสวัสดิการให้แก่เด็ก คนชรา ผู้พิการ ผู้ป่วยโรคไต ผู้มีความหลากหลาย และคนทำงานกลางคืน เช่น การผลักดันให้มีศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ ศูนย์ฟอกไต และศูนย์ดูแลเด็ก Daycare และ Night Care ให้คนที่เข้ามาทำงานในพัทยาไม่ต้องส่งลูกไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัด
นอกจากนี้ ตนจะเปลี่ยนเมืองพัทยาให้เป็นเมืองที่โปร่งใส ไร้การทุจริต ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดของเมืองพัทยาต้องประกาศให้ประชาชนเห็นบนเว็บไซต์ การให้บริการทั้งหมดของเมืองพัทยา ตั้งแต่การขอทำบัตรประชาชนจนถึงการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ต้องเปิดให้ทำได้อย่างโปร่งใสผ่านระบบ E-Service รวมทั้งการนำแอพพลิเคชั่น Traffy Fondue ซึ่งคณะก้าวหน้าใช้ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายเทศบาลและ อบต. มาใช้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวเมืองพัทยาด้วย
"เราทนมาแล้วตั้ง 20 ปี ไม่ได้เลือกตั้งมาแล้ว 10 ปี การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ อนาคตอยู่ในมือของทุกท่าน ผมขอเวลาแค่ 4 ปี ให้ผมได้เข้าไปทำงาน แก้ปัญหาทั้งหมดนี้ไม่ใช่นโยบายขายฝัน มันถึงเวลาแล้วที่จะทวงคืนพัทยามาเป็นของทุกคน" นายกิตติศักดิ์ กล่าว