น.ส.ศศิกานต์ กล่าวต่อว่า แม้จะเป็นผู้สมัครใหม่ในวงการเมือง แต่มองว่าเป็นข้อได้เปรียบ เพราะตำแหน่งผู้ว่าราชการไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เนื่องจากมีหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบในการดูแลส่วนต่างๆ อยู่แล้ว เช่น ถนน เสาไฟฟ้า สายสื่อสาร การทำงานของกรุงเทพฯ จึงต้องอาศัยการประสานงาน ซึ่งเราสามารถทำงานได้กับทุกพรรคการเมือง ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ที่มีนโยบายที่ดีเพื่อประชาชนและเป็นคนดี จึงมองว่าหากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาจากสังกัดพรรคใดพรรคหนึ่งก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
สำหรับการทำงานของกลุ่มใส่ใจ ยึดหลักภายใต้หลักการ 3 อย่าง คือ อำนาจต้องมาจากประชาชน, ไม่ยอมรับการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ และการบริหารงานอย่างมืออาชีพตามหลักสากล
"สำหรับนโยบายผู้ว่า กทม. ของกลุ่มใส่ใจ แบ่งเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย ความปลอดภัยในชีวิต-ทรัพย์สิน และสุขภาพ, ความปลอดภัยในด้านคุณภาพชีวิตของผู้คน และการขยายอนาคตทางการศึกษาให้เด็กและเยาวชน มองว่า กทม.บอบช้ำมากพอแล้ว ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องมาใส่ใจ กทม. จึงขอโอกาสในการทำงานกับคน กทม. และสัญญาจะดูแลทุกเรื่องด้วยความใส่ใจ" น.ส.ศศิกานต์ กล่าว
น.ส.ศศิกานต์ กล่าวว่า พื้นเพเดิมเป็นคนจังหวัดตรัง แต่อยู่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่อายุ 15 ปี จึงรับรู้ปัญหาของกรุงเทพฯ มาตลอด มีประสบการณ์ตรงถึงความลำบากของคนกรุงเทพฯ ทั้งการเดินตกท่อ ตกรถเมล์ นั่งรถเมล์ตั้งแต่ต้นสายถึงปลายสายจึงรู้ถึงความลำบากของคนที่ต้องนั่งรถเมล์เป็นเวลานาน ขณะนี้จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะช่วยกรุงเทพฯ เพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
ด้านนายวินท์ กล่าวว่า ผู้สมัครผู้ว่า กทม.ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของพรรคใหญ่ และเป็นชายวัยกลางคน โดยสถิติชายวัยกลางคนเป็นจำนวนที่น้อยใน กทม.คนส่วนใหญ่ในกทม.เกือบ 60% จะเป็นผู้หญิง จึงเสนอ น.ส.ศศิกานต์ ที่เป็นผู้รู้จริง จะเป็นตัวแทนกลุ่มคนที่มากสุดในกทม. แต่เป็นเสียงที่น้อยที่สุด
สำหนับนโยบายด้านบริหารของกลุ่มของกลุ่มใส่ใจ ด้านนโยบายสุขภาพ ใส่ใจปอด ลดปัญหาฝุ่น P.M.2.5 วางแผนเปลี่ยนระบบขนส่งใน กทม.เป็นพลังงานสะอาด ประกอบด้วยแผนเริ่มตั้งแต่ 2 ปี 5 ปี และ 10 ปี
ส่วนการที่ น.ส.ศศิกานต์ ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. จะเป็นการตัดคะแนนนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครในนามพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายวินท์ ยืนยันว่า การลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล จะอยู่ฝั่งไหนเราก็สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งตอนที่ตนยังดำรงตำแหน่งส.ส. ก็ไม่เคยไปทะเลาะเรื่องการเมืองกับใคร มีแต่ข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องประชาชน แม้กระทั่งตอนลาออกมาก็ไม่ได้มีการไปทะเลาะกับใครทั้งนั้น ดังนั้นการสนับสนุนน.ส.ศศิกานต์ ในครั้งนี้ต้องการทำเพื่อแก้ปัญหาให้กับกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง
บรรยากาศภายในงานแถลงข่าวมีนายมาร์ค ไอน์สไตน์ เชื้อสายทายาทไอน์สไตน์มาร่วมให้กำลังใจ โดยระบุว่า อยากให้คนไทยมีความสุข โดย น.ส.ศศิกานต์ กล่าวว่า ตนกับนายมาร์ค ไอน์สไตน์ เป็นเพื่อนกันมา 20 ปีแล้ว เราเห็นปัญหาร่วมกันมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา เรื่องเด็ก กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม LGBTQ ซึ่งถือเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของ กทม. แต่กลุ่มคนเหล่านี้ยังไม่มีใครที่จะมาเป็นผู้แทน เป็นปากเป็นเสียง และช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขาอย่างแท้จริง