นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม.พรรค พปชร. และนายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ.2566 ร่วมแถลงผลการประชุม กมธ.งบประมาณ
โดยนางกรณิศ กล่าวว่า มีหน่วยงานที่ผ่านการพิจารณาแล้ว 1 กระทรวง 4 หน่วยงาน 1 กองทุน และงบกลาง 7 รายการ ได้พิจารณางบประมาณในภาพรวมของ กระทรวงการคลัง งบประมาณทั้งสิ้น 285,230 ล้านบาท และได้พิจารณางบประมาณของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง 4 หน่วยงาน 1 กองทุน และงบกลาง 7 รายการ งบประมาณทั้งสิ้น 534,503 บาท ดังนี้ 1. สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง จำนวน 1,269 ล้านบาท กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (งบประมาณ ทั้งสิน 35,514 ล้านบาท) 2. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง จำนวน 929 ล้านบาท 3. กรมธนารักษ์ จำนวน 3,789 ล้านบาท และ 4. กรมบัญชีกลาง จำนวน 1,530 ล้านบาท
นายเขตรัฐ กล่าวว่า การพิจารณางบประมาณของกระทรวงการคลังในภาพรวมมี กมธ.บางคนให้ข้อเสนอแนะว่า จากมาตรการของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีการให้หน่วยงานต่างๆ สำรองงบประมาณจ่ายไปก่อนได้ หากมีเหตุจำเป็นทางการคลัง ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่สามารถทำได้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 28 ที่มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการ โดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการนั้น แต่ให้กระทำได้เฉพาะกรณี เช่น เป็นหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่อยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น หรือเพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพ หรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย หรือการก่อวินาศกรรม แต่การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้มีการเปิดเผยสู่สาธารณะ เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องเปิดเผย
ดังนั้น เพื่อความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ จึงขอให้กระทรวงการคลังมีนโยบายในการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงทางการคลังในส่วนนี้ ซึ่งจากข้อเสนอแนะของ กมธ.ดังกล่าว ผู้แทนของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงว่า จะรับข้อเสนอแนะไปพิจารณาแนวทางในการเผยแพร่ข้อมูลให้สอดคล้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ด้านนายสัณหพจน์ กล่าวว่า การพิจารณางบประมาณของกรมธนารักษ์ จำนวนทั้งสิ้น 3,789 ล้านบาท ในที่ประชุมได้มีการหารือกันเกี่ยวกับการผลิตเหรียญกษาปณ์ในอนาคต ซึ่งมี กมธ.บางคนสอบถามว่า จากข้อมูลในเอกสารงบประมาณ พบว่า กรมธนารักษ์ ได้ปรับลดการผลิตเหรียญกษาปณ์ลงทุกปีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรรมาธิการได้ชื่นชมหน่วยงานในกรณีดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมของหน่วยงาน เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ซึ่งในอนาคตการใช้ธนบัตรซึ่งเป็นกระดาษหรือ เหรียญกษาปณ์จะลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะประชาชนนิยมใช้เทคโนโลยี E-Banking กันมากขึ้น และการจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบันประชาชนใช้วิธีการโอนเงินผ่านทางแอปพลิเคชั่นกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหน่วยงานจะมีการลดการผลิตเหรียญลงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับพบว่าหน่วยงานมีโครงการพัฒนาโรงกษาปณ์ 4.0 จึงขอความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว ผู้แทนของกรมธนารักษ์ ได้ชี้แจงว่า โรงกษาปณ์ 4.0 เป็นโครงการที่พัฒนากระบวนการ ผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งงานรับจ้างจัดทำเหรียญชนิดอื่นๆ การจัดทำเหรียญที่ระลึก และการจัดทำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นต้น เพื่อชดเชยรายได้จากการผลิตเหรียญทั่วไป ซึ่งหน่วยงานมีแผนการผลิตลดลง โดยการพัฒนาโรงงาน 4.0 ใช้เงินนอกงบประมาณ ซึ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่มีวัตถุประสงค์เป็นการเฉพาะ ไม่ได้ขอรับจัดสรรงบประมาณแต่อย่างใด
ส่วนการพิจารณางบประมาณของกรมบัญชีกลาง จำนวนทั้งสิ้น 1,530 ล้านบาท ที่ประชุมได้มีการหารือกันเกี่ยวกับงบกลางในส่วนของงบประมาณเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญของข้าราชการในส่วนของเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี
โดย กมธ.ให้ข้อสังเกตว่า ในปี 2554 รายจ่ายรายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ใช้งบประมาณไม่ถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งไม่ถึง 5% ของรายจ่ายทั้งหมดของประเทศ แต่งบประมาณรายการนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเป็นรายการที่มีค่าใช้จ่ายเกินกว่า 10% ของงบประมาณทั้งหมดของประเทศ ด้วยเหตุนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการจัดทำงบประมาณในอนาคต หน่วยงานจึงควรมีแผนในการรองรับงบประมาณในส่วนนี้ซึ่งจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาจต้องเตรียมสำรองงบประมาณเอาไว้ล่วงหน้า หรือมีแผนการบริหารงบประมาณเพื่อไม่ให้งบประมาณรายการนี้เกินกว่า 10% ของงบประมาณรายจ่ายรวมของประเทศ
ทั้งนี้ ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ชี้แจงว่าผู้รับบำนาญมีจำนวนทั้งสิ้น 811,272 คน ซึ่งเป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2565 โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้มีการตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้ 352,700 ล้านบาท ได้รับจัดสรรงบประมาณ 322,790 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายจ่ายที่สะสมเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะผู้รับบำนาญมีอายุยืนยาวขึ้น แต่คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 400,000 ล้านบาท