นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ส.ว.กรรมาธิการการคมนาคม เปิดเผยว่า กมธ.จะเสนอรายงานพิจารณาศึกษา แนวทางการบริหารและจัดการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 21 มิ.ย.นี้
อย่างไรก็ตามในรายงานดังกล่าวไม่มีข้อสรุปที่ชี้ชัดให้แก้ปัญหาดังกล่าวในทิศทางใด แต่มีข้อเสนอใน 2 แนวทาง คือ กรณีขยายสัญญาสัมปทาน และ กรณีไม่ขยายสัญญาสัมปทาน พร้อมเสนอข้อดีและข้อเสีย
สำหรับแนวทางการบริหารและจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่คณะทำงานในกมธ.การคมนาคมเสนอ มีสาระสำคัญ คือ
- กรณีขยายสัญญาสัมทาน ระบุผลการพิจารณา ประชาชนจะได้รับความสะดวกในการเดินทางจากการเดินรถต่อเนื่อง ไม่ต้องเปลี่ยนขบวน , โครงการฯ มีเอกภาพในการบริหารและจัดการเดินรถ,จัดเก็บค่าโดยสารใช้โครงสร้างเดียวกันตลอดสาย, กรุงเทพมหานคร (กทม.) สามารถแก้ปัญหาภาระหนี้สินได้, ลดงบประมาณแผ่นดินเพื่ออุดหนุนค่าโดยสาร, กทม. ได้รับส่วนแบ่งรายได้เพื่อชำระหนี้และได้ค่าตอบแทนเพิ่มเติมกรณีผลตอบแทนผู้ถือหุ้นของเอกชน ปีใดที่เกินกว่า 9.6%
- กรณีไม่ขยายสัญญาสัมปทาน ระบุว่า การขอขยายสัญญา ไปอีก 30 ปี ต้องพิจารณาหนี้ที่ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) จะรับไปเมื่อเทียมกับอัตรารายได้จากการทำโครงการ, ระยะเวลาขอสัญญาสัมปทานมีเวลาอีกหลายปี เพียงพอที่คณะกรรมการจะพิจารณาให้รอบคอบทุกมิติ, การขยายสัญญาให้เอกชนเพียงรายเดียวแบบเจาะจง ขณะที่โครงการมีมูลค่าสูง อาจไม่เป็นไปตามหลักการของกฎหมายร่วมทุน, หากมีการลงนามในสัญญาร่วมทุนและอนาคตคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีผลพิจารณาว่ากทม. ทำสัญญาจ้าง BTSC ไม่สามารถทำได้ อาจทำให้เกิดมีปัญหาตามมา
ทั้งนี้ในรายงาน ยังระบุถึงข้อเสนอต่อการบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพื่อเกิดประโยชน์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน รวมถึงประหยัดค่าโดยสารว่า
1.รัฐบาลต้องหาข้อยุติโดยเร็วว่าจะต่อสัญญาสัมปทานให้กับ BTSC หรือไม่ โดยต้องตอบโจทย์ประชาชนแนะข้อกฎหมาย ราคาค่าโดยสารและภาระหนี้สิน
2.กรณีที่จะรอให้อายุสัมปทานหมดในปี 72 แล้วดำเนินการประมูลตามกฎหมายร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 ต้องพิจารณาการจัดเก็บค่าโดยสารจากการเดินรถ หากต่อสัญญาสัมปทาน ประชาชนจะเสียค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย
3.เร่งดำเนินระบบตั๋วร่วมกับ BTSC เพื่อแก้ไขอุปสรรคในทางปฏิบัติ
4.กทม.เร่งจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว
5.กรณีไม่ขยายสัญญาสัมปทาน การจัดการหนี้สินของ กทม. ที่รับโอนจาก รฟม. ตั้งแต่ปี 65 - 72 รัฐบาลควรสนับสนุนภาระหนี้ชั่วคราว จนกว่าจะหมดสัญญาสัปทาน ปี 72 เพื่อรอให้ทรัพย์สินทั้งหมดของโครงการเป็นของกทม. จากนั้นกทม.ต้องวางแผนเพื่อชำระหนี้คืนแก่รัฐบาลต่อไป ขณะเดียวกันต้องเปิดให้ผู้ประกอบการเดินรถแข่งขัน โดยกทม.ควบคุมดำเนินการ
6.ภาระหนี้สินของ BTSC กับกทม. ที่เกิดจากการจ้างเดินรถและจัดซื้อระบบอาณัติสัญญาณและระบบเดินรถต่างๆ ที่มีประเด็นหนี้ รัฐบาลและกทม. ต้องทบทวนและตรวจสอบเพื่อหาข้อยุติร่วมกับรัฐบาลว่าจะชำระหนี้อย่างไร
"การเสนอรายงานของกมธ. ต่อที่ประชุมวุฒิสภา เพื่อรับฟังความเห็นของส.ว.ท่านอื่นเพื่อให้รายงานมีความรอบคอบ จากนั้นจะขออนุมัติที่ประชุมก่อนเสนอต่อรัฐบาลต่อไป อย่างไรก็ดีผมมองว่าเนื้อหาของรายงานจะเป็นประโยชน์หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกทม. และ นายธงทอง จันทรางศุ ประธานบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด คนใหม่ รับไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจ" นายสุรเดช กล่าว
นอกจากนี้ เชื่อว่านายธงทอง จันทรางศุ และบอร์ดเคทีจะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเดินรถบีทีเอส ตามแนวทางและนโยบายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้