นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการแก้ปัญหาโควิด-19 ว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลและนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข บริหารผิดพลาด ล้มเหลว ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ผิดพลาด มองว่าโควิดเป็นโรคไข้หวัดธรรมดา แต่ 3 ปีที่ผ่านมา มีคนไทยติดโควิดมากว่า 6.5 ล้านคน ตายมากกว่า 3 หมื่นคน และบางช่วงคนติดเชื้อโควิดถูกปฏิเสธการรักษาจากโรงพยาบาล และคนไทยฉีดวัคซีนช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านไปหลายเดือน
นพ.สุรวิทย์ กล่าว่า ปัจจุบันสถานการณ์โควิดยังน่าเป็นห่วง แต่รัฐบาลสร้างภาพให้ดูว่าสามารถควบคุมโรคได้ดี มีบุคลากรพร้อม เตียงผู้ป่วยเพียงพอ หรือยาต้านไวรัสมีเพียงพอ แต่ข่าวที่ออกมามีหลายโรงพยาบาลปฏิเสธรับผู้ป่วย และรัฐบาลพยายามควบคุมตัวเลขโควิด เพื่อเข้าสู่โรคประจำถิ่น ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อทั้งหมดมีการรายงานที่ 6.5 ล้านคน แต่คาดการณ์ความเป็นจริงน่าจะมากกว่า 8 ล้านคน เสียชีวิต 3 หมื่นคน แต่คาดการณ์ความเป็นจริงน่าจะมากกว่า 5 หมื่นคน โดยระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานติดเชื้อรายใหม่วันละ 3 พันคน แต่คาดการณ์ความเป็นจริง 5 หมื่นคน
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลประกาศให้ประชาชนสามารถสวมหน้ากากโดยสมัครใจผ่านไป 10 วัน ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 14.38% มีผู้เข้าการรักษาเพิ่มเติม 9% และมีการเน้นย้ำให้มีการกลับมาสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้ง และพบว่า ทั่วประเทศมีคนติดโควิดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประธานรัฐสภา รองนายกรัฐมนตรี ทหาร ตำรวจ สื่อมวลชน นักแสดง นักเรียน นักกีฬา
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดรัฐบาลก็ยอมรับว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มีการรายงานในแต่ละวัน เปลี่ยนเป็นผู้ป่วยโควิดที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล ซึ่งการรายงานที่ผิดพลาดที่ผ่านมาถือว่าเชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด ส่วนการรักษาก็มีปัญหา เพราะเมื่อไปโรงพยาบาล ก็จะได้แต่ยาพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวด ฟ้าทะลายโจร ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์มีข้อจำกัดในการจ่ายยา ส่วนยาโมลนูพิราเวีย ส่วนใหญ่ทางโรงพยาบาลจะบอกว่าไม่มียา
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า การบริหารจัดการโควิดที่ผิดพลาด ถือเป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข อีกทั้งองค์กรด้านสุขภาพที่สำคัญไม่แนะให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในการรักษาโควิด และประเทศที่ผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ คือ ญี่ปุ่น เลิกใช้ยานี้มา 2 ปีแล้วและมีคำแนะนำไม่ควรนำแนะนำว่า ไม่ควรนำยานี้มาทำการทดลอง วิจัยเกี่ยวกับโควิดอีกต่อไป
แต่เมื่อ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา แทนที่รัฐบาลจะสั่งซื้อยาที่มีประสิทธิภาพ กลับยกเลิกคำสั่งซื้อยาโมนูฟิราเวียร์ แต่ไปซื้อยาฟาวิพิราเวียร์แทนถึง 17 ล้านเม็ด มูลค่าเกือบ 300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์ ในการเบิกจ่ายในโรงพยาบาลมีไม่เพียงพอ และผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงหมดโอกาสเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพ แต่รัฐมนตรีสาธารณสุขกลับได้ยาโมลนูฟิราเวียร์
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขที่ดีอันดับต้นๆ ของโลก แต่รัฐบาลนี้บริหารจัดการโควิดล้มเหลว ขาดประสิทธิภาพ ขาดวิสัยทัศน์ และประเมินสถานการณ์ผิดพลาด อาจมีการทุจริตคอรัปชั่นเกิดความสูญเสียชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจประเทศ ส่งผลต่อการฟื้นตัวของประเทศ จึงไม่สามารถให้ความไว้วางใจกับรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศอีกต่อไป