พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านถึงการขึ้นค่าไฟฟ้าในเดือนก.ย.-ธ.ค.65 ว่า มาจากปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ราคาต้นทุนเชื้อเพลิง เป็นผลจากราคาถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น 216.11 บาทต่อตัน ราคาดีเซลที่เพิ่มขึ้น 2.33 บาทต่อลิตร ก๊าซธรรมชาติที่มีอัตราใช้อยู่ที่ 60% ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ยังมีค่าขนส่ง ค่าแปรรูป ทำให้ราคาจำหน่ายต้องปรับไปตามราคาของต้นทุน โดยมีการคำนวณล่วงหน้าเพื่อใช้ภายใน 4 เดือน จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 23 สตางค์ต่อหน่วย
ทั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องแบกรับภาระค่าเชื้อเพลิงที่เกิดจากราคาต้นทุนสูงขึ้น ประกอบกับการผลิตจากแหล่งเอราวัณในอ่าวไทยลดลงไปเยอะมาก และเกี่ยวพันกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก ปัญหาสงคราม และสงครามการค้าด้วย ซึ่งไม่สามารถไปโทษปัจจัยเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่ต้องบริหารจัดการภายในให้ได้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการก่อสร้างแท่นประดิษฐานปรับปรุงภูมิทัศน์พระบรมราชานุสาวรีย์ว่า มีการใช้งบประมาณประจำปี 64 ของทางกองทัพ ผู้ชนะการคัดเลือกได้เสนอวงเงินก่อสร้าง 59 ล้านบาท ทางคู่สัญญาประสงค์บริจาคสิ่งปลูกสร้างที่แล้วเสร็จ ทั้งแท่นประดิษฐานและปรับปรุงภูมิทัศน์ รวมถึงสาธารณูปโภคตามรูปแบบสัญญากำหนด เป็นไปตามวัตถุประสงค์กองทัพบก โดยไม่ขอรับเงินค่าจ้างที่ระบุไว้ในสัญญา และกรมยุทธโยธาทหารบกได้ส่งเงินงบประมาณดังกล่าวที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายให้กับผู้ประกอบการให้กองทัพบกไปแล้ว
สำหรับเรื่องการตั้งข้อสังเกตุว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ไม่ได้เข้ามาตรวจสอบโครงการนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า ทางกองทัพบกได้รับประสานงานอย่างไม่เป็นทางการจากสตง. ขอรับทราบข้อมูลในการก่อสร้าง และได้ชี้แจงว่า ไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ แต่ดำเนินการภายใต้เงินของบริษัทและผู้มีจิตศรัทธา ที่มาทำการก่อสร้าง ซึ่งสตง.ได้รับทราบข้อมูลตรงนี้แล้ว
ส่วนความคืบหน้าเรื่องจีที 200 นั้น ทางกระทรวงกลาโหมได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับเอกชนที่เป็นคู่สัญญา 13 คดี คดีถึงที่สุดแล้ว 5 คดี และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรวม 6 คดี อยู่ในชั้นพิพากษาอีก 2 คดี ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายรวม 747 ล้านบาท ซึ่งผู้ถูกฟ้องบางส่วนได้ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำนวน 17 ล้านบาท
นายกรัฐมนตรี ยังได้ยืนยันว่า ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องคดีคลองด่าน และได้สั่งการให้กรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลจึงไม่สามารถก้าวล่วงได้
"ผมยืนยันว่า ไม่ใช่ไม่ดีทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าเลวที่สุด ไม่ใช่แย่ที่สุด เดี๋ยวอาจสร้างความเข้าใจผิด ท่านมีความมุ่งหวังอะไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เวลานี้ควรรวมพลังคนไทยทั้งชาติ เพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง มากกว่าที่มาทะเลาะเบาะแว้ง พูดกันไปพูดกันมา ผมก็อดไม่ได้เหมือนกัน...เวลาท่านพูดโจมตีผม ถึงจะรับไม่ค่อยได้ผมก็ต้องรับท่าน เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมถามว่าสักกี่คนในห้องนี้ เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน ผมถามก็แล้วกัน ผมย่อมมีประสบการณ์มากกว่าท่าน แต่การพูดส่อเสียดให้ร้าย ผมสู้ท่านไม่ได้ ผมยอมท่าน"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว