นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ปล่อยปละละเลย มีส่วนรู้เห็นและสมคบคิดให้มีการทุจริตแสวงหาผลประโยชน์ภายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยเอื้อผลประโยชน์ให้พรรคพวกและบริวาร และไม่ดำเนินการตรวจสอบยับยั้ง จนทำให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของคณะสงฆ์และพุทธศาสนาอย่างมาก
ทั้งนี้ ได้พุ่งประเด็นไปที่คำสั่ง คสช. มาตรา 44 มีความผิดปกติในการแต่งตั้ง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นการแต่งตั้งจากซี 8 สู่ซี 10 ซึ่งไม่มีใครเขาทำกัน และหลังจากที่ พ.ต.ท.พงศ์พร เกษียณอายุราชการแล้ว ก็ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ด้านการพระพุทธศาสนา รวมทั้งยังมีตำแหน่งที่ปรึกษาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย
โดยในยุคที่ พ.ต.ท.พงศ์พร เป็น ผอ.สำนักพุทธฯ ถือว่าเป็นยุคที่คณะสงฆ์ปั่นป่วนอย่างมาก ทั้งการจับสึกพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 7 รูป ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของพระ แต่นายกรัฐมนตรีไม่เคยออกมาปกป้องพระสงฆ์ ไม่เคยตักเตือนลูกน้องที่มีแต่สร้างความปั่นป่วน ถือว่าสร้างความอัปยศสุด
"นี่เป็นสิ่งยืนยันว่า สำนักพุทธฯ ขึ้นกับนายกฯ โดยตรงในยุคของ พ.ต.ท.พงศ์พร...การบังคับบัญชาแบบนี้ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักพุทธฯ จึงอย่าคาดหวังว่าจะกำกับดูแล ผอ.พศ.ได้ เพราะมีคนกำกับดูแลอยู่แล้ว ผมอายแทนท่านอนุชา เพราะสั่งการอะไรไม่ได้" นายนิยม กล่าว
นายนิยม ยังกล่าวว่า ได้มีการนำสมบัติทางพุทธศาสนาไปทุจริตคอร์รัปชั่น เอื้อประโยชน์แก่เอกชนอย่างมหาศาล โดยนำตลาดเฉลิมโลก สี่แยกประตูน้ำ ซึ่งเป็นศาสนสมบัติกลาง หรือเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา ที่คณะสงฆ์ซื้อที่ดินในบริเวณดังกล่าวจากเอกชนมาตั้งแต่ปี 2477 ไปทำการฉ้อฉลหาประโยชน์ โดยในเมื่อ มิ.ย. 62 พ.ต.ท.พงศ์พร ในฐานะผอ.สำนักพุทธฯ ได้นำที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวน 22 ไร่ ไปให้บริษัท พร็อพแม็กซ์ จำกัด ทำสัญญาเช่า มูลค่า 400 ล้านบาท ระยะเวลาถึง 40 ปี ซึ่งในรายละเอียดของสัญญา จะทำให้สำนักพุทธฯ เสียเปรียบมาก
นอกจากนี้ ยังมีความไม่ชอบมาพากลเนื่องจากมีการทำสัญญาเช่าไปล่วงหน้า 2 เดือน ก่อนที่จะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมในเดือนส.ค.62 ในขณะที่ผู้เช่ารายเดิมยังไม่หมดสัญญา เพราะสัญญาเดิมทำไว้ถึงปี 68 ซึ่งผู้เช่ารายเดิมได้มีการยื่นฟ้องร้องสำนักพุทธฯ ไว้แล้ว
"เริ่มต้นสัญญาก็ผิดแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่ง สัญญาเช่าไม่สามารถทำเกิน 30 ปี แต่ ผอ.คนนี้ เร่งรีบ รีบทำ จึงสงสัยว่าทำไมต้องทำสัญญาที่ผิดกฎหมาย สัญญาเช่า 400 ล้านบาท 40 ปี...สัญญาเช่า 3 ปีแรก ไม่เก็บค่าเช่า ปีที่ 4-10 เก็บค่าเช่าปีละ 780,000 บาท หรือตกเดือนละ 65,000 บาท ที่ตกนี้ยิ่งกว่าทองคำ แผงขายผ้ายังโดนเก็บเดือนละแสน แต่ศาลแพ่ง จะทำสัญญา เดือนละ 65,000 บาท ไม่ฉ้อฉลได้อย่างไร" นายนิยม กล่าว
ด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ กรณีการจัดซื้อวิทยุสื่อสารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ด้วยวิธีพิเศษ 7,748 ล้านบาท ที่ส่อเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง โดยแบ่งการจัดซื้อเป็น 2 งวด งวดแรก ซึ่งบมจ. เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส (TKC) ชนะการประมูล 3,408 ล้านบาท และงวดสองกิจการร่วมค้า ซึ่งมีบริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส กับ บมจ.สกาย ไอซีที (SKY) ชนะการประมูล 4,340 ล้านบาท ซึ่งต้องเข้าไปดูว่ามีใครเป็นผู้ถือหุ้น
กรณีปล่อยให้เครื่องบินมิกซ์ของกองทัพเมียนมาบินรุกล้ำน่านฟ้าเข้ามา 20 กิโลเมตรเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.65 ซึ่งประเทศไทยมีสถานีเรดาห์ที่จังหวัดเชียงใหม่สามารถตรวจสอบได้ทันที และสามารถสั่งเครื่องบินเอฟ-16 บินปฏิบัติการสกัดกั้นได้ภายใน 5 นาที แต่กลับมีการหน่วงเวลาเป็น 1 ชั่วโมง และที่ผ่านมาเครื่องบินของกองทัพเทียนมารุกล้ำน่านฟ้ามาแล้ว 230 ครั้ง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะฝ่ายปฏิบัติการต้องรับผิดชอบ หรือเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีต่อรัฐบาลเมียนมามากกว่าความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีความผิดพลาดในการแก้ปัญหาโควิด-19 ที่ปล่อยให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก, ความผิดพลาดในการยกเลิกสัมปทานเหมืองทองอัคราที่ทำให้เกิดความเสียหายตามมาเป็นจำนวนมาก
นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายเรื่องการทุจริตน้ำมัน โดยพบว่ามีการทุจริตน้ำมันเขียว เนื่องจากตัวเลขน้ำมันเขียวที่ถูกใช้เพิ่มขึ้นทุกปี แต่การเดินเรือประมงจริงใน ปี 63,64 มีเรือประมงที่ออกจับปลาจริงประมาณ 40 % หรือ 5,000 ลำ จากทั้งหมดประมาณ 10,530 ลำ และผิดวิสัยที่เรือประมงพาณิชย์ลด แต่ยอดจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับเรือประมงเพิ่มขึ้น ซึ่งพบว่า มีการทุจริตน้ำมัน 300 ล้านลิตรต่อไป คิดเป็นเงิน 2,000 ล้านบาท
อีกทั้ง ยังพบกลโกงน้ำมันเถื่อน เครือข่ายน้ำมันเถื่อนนานาชาติ โดยพบเรือน้ำมันในเขตน่านน้ำสากล ซึ่งมีเครื่องมือที่สามารถกลั่นน้ำมันได้ทุกชนิด มีการนำน้ำมันมาจากหลายประเทศ โดยเรือลำนี้มีหุ้นส่วนเป็นคนไทย และมีการสวมถังเพื่อฟอกน้ำมันเถื่อนให้เป็นน้ำมันที่ถูกต้อง และเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งในอดีตเคยเป็นบอร์ดในบริษัทน้ำมัน น่าจะรู้กระบวนการทุจริตตรงนี้