นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยระบุว่า การบริหารราชการแผ่นดินของ พล.อ.ประยุทธ์ ตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มีความล้มเหลวในทุกด้าน เพิกเฉยต่อการทุจริต และเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง เป็นต้นตอที่ทำให้ปัญหาที่มีอยู่ซับซ้อน ขยายวงกว้างรุนแรงมากขึ้น และทำให้ประเทศถอยหลัง โดยขอให้พอกันทีที่ทำให้คนไทยมืดแปดด้าน
นายพิธา ได้แสดงความเห็นแย้งต่อสิ่งที่นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศแผนขับเคลื่อนกลยุทธ์ผ่าน 3 แกนหลัก โดยแกนที่ 1 เรื่องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ที่นายกฯ พูดวว่าโครงการก่อสร้างทางรถไฟ ถนน สนามบิน และท่าเรือมีความคืบหน้าไปมากและใกล้เสร็จสมบูรณ์นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะแต่ละโครงการมีความคืบหน้าน้อยมาก บางโครงการใช้งบมหาศาลแต่กลับมีความซ้ำซ้อน
แกนที่ 2 การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ EV แห่งหนึ่งของโลก และจะเร่งให้ไทยนำหน้าประเทศอื่นในภูมิภาคนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะปัจจุบันไทยกำลังวิ่งตามทั้งจีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย และแกนที่ 3 การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนในกลุ่มคนตัวเล็ก และธุรกิจรายย่อย ซึ่งเห็นรัฐบาลพูดมาตั้งแต่ปี 57 แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้จริง เพราะปัจจุบันยังพบว่าอัตราการเข้าถึงสินเชื่อเติบโตอยู่เฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ในขณะที่ธุรกิจรายย่อยรายเล็กอัตราการเข้าถึงสินเชื่อยังติดลบ
"สิ่งที่ท่านพูดมา มันเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น มันเป็นสิ่งที่กลวงมากๆ และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะไว้วางใจได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถจะไว้วางใจได้มากไปกว่า 3 กลวงที่กล่าวมา คือ ความห่างเหินระหว่างนายกรัฐมนตรีกับพี่น้องประชาชน ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 24 ปี บาทอ่อนค่าสุดในรอบ 16 ปี ปุ๋ยราคาแพงสุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล หนี้สาธารณสูงสุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล ราคาอาหารสูงตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล นายกฯ คิดว่าสิ่งที่ทำให้พี่น้องของเรานอนไม่หลับ คือเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน คือเรื่องรถ EV คือเรื่อง Micro Credit เหรอครับ สิ่งที่ประชาชนอยากได้ยินจากผู้นำของเขา คือ อะไรคือทางออกของของแพง ค่าแรงถูก อะไรคือทางออกของสถานการณ์ข้าวยากหมากแพง ยังไม่เคยได้ยินจากนายกฯ เลย" นายพิธา ระบุ
หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังระบุว่า ในความเป็นจริงแล้ว นายกรัฐมนตรีมีแกนที่แท้จริงอยู่ 3 แกน คือ แกนที่ 1 ทำลายศักยภาพของประชาชน แกนที่ 2 ทำลายศักยภาพของประเทศ แกนที่ 3 ทำลายศักยภาพของประเทศไทยในต่างประเทศ
แกนที่ 1 ทำลายศักยภาพทำลายความหวังของประชาชน คือ ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือน ตลอดจนภาคการเกษตร รวมถึงภาคพลังงาน ที่กองทุนน้ำมันดูจะมาถึงทางตันว่ารัฐบาลจะหาเงินจากที่ไหนมาบริหารเพื่อไม่เข้าสู่ภาวะการลอยตัวของราคาน้ำมัน
แกนที่ 2 ทำลายศักยภาพของประเทศ คือ ปัญหาการทุจริต โดยไม่สามารถแสดงความสุจริตให้เป็นที่ประจักษ์ได้ มีวัฒนธรรมลอยนวล โดยเฉพาะกรณีการจัดซื้อจัดจ้างภายในกองทัพ และข้อกังขาในการแสดงบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี
แกนที่ 3 ทำลายศักยภาพของประเทศไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีวิกฤติในเมียนมา ซึ่งเป็นที่ถูกจับตาของสังคมโลก แต่รัฐบาลไทยกลับบอกว่าเป็นเรื่องกิจการภายในของเมียนมา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมากในการบริหารการต่างประเทศ เพราะเรื่องของเมียนมาไม่ใช่เรื่องภายในประเทศแล้ว แต่ขณะนี้องค์การสหประชาชาติกำลังตรวจสอบเมียนมาว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือไม่
"โดยเฉพาะกรณีที่ปล่อยให้เครื่องบินรบของเมียนมา เข้ามาบินในน่านฟ้าไทย ผมกังวลว่าเรื่องนี้อาจจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจต้องไปขึ้นศาลโลกในอีก 10-20 ข้างหน้า เพราะเป็นอาชญากรรมสงครามที่ไทยอาจจะเข้าไปมีส่วนด้วย" นายพิธา กล่าว
นายพิธา ยังกล่าวด้วยว่า การทำลายศักยภาพของประชาชน, ทำลายศักยภาพของประเทศ และการทำลายศักยภาพของประเทศไทยในต่างประเทศ ล้วนทำให้ประชาชนเกิดความสิ้นหวัง โดยมีข้อมูลว่ามีผู้เสียชีวิตจากความสิ้นหวังถึง 2 หมื่นคน ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมากกว่าในช่วงเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง นี่เป็นความสิ้นหวังของคนไทย ที่เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถให้ความไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อีกต่อไป
"เป็นที่พิสูจน์ว่ารัฐนาวาที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้พาให้พวกเราไปไหนเลย การเดินทางนั้น ควรจะจบตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป" หัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุ