นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งที่อยู่มา 8 ปีแล้ว สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนจำนวนมาก เพราะตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด รายได้ประชาชนลดต่ำลง เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาก หนี้สินเพิ่มขึ้นมาก คนจนเพิ่มขึ้นมาก ราคาพลังงาน ทั้งน้ำมัน ก๊าซ และไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้น ข้าวของแพง ค่าแรงงานถูก ค้าขายย่ำแย่ หนี้เสียพุ่ง คนตกงานมาก คนฆ่าตัวตายสูงสุด ความสามารถแข่งขันของประเทศลดลง มีทุจริตคอร์รัปชั่นกันมากตามดัชนีชี้วัดสากล ขนาดปัญหาน้ำท่วมในปัจจุบันยังไม่มีการรับมือแก้ไขช่วยเหลือประชาชนเลย คิดได้แค่จะใช้วิทยุทรานซิสเตอร์แค่นั้น
"ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กลับคิดว่าตนเองทำได้ดี ประเทศก้าวหน้าทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปหมด ไม่ว่ามาเลเซียที่เป็นประเทศรายได้สูงไปแล้ว หรือเวียดนามที่การส่งออกแซงไทยไป 50% แล้ว ดังนั้นแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะรอดแต่คนไทยน่าจะไม่รอดแน่ ถ้าเป็นแบบนี้" นายพิชัย กล่าว
นอกจากนี้ การปล่อยให้มีการผูกขาดเป็นปัญหาหลักของประเทศ ขนาด World Economic Forum (WEF) จัดไทยอยู่อันดับที่ 104 จาก 138 ประเทศ ในด้านการกระจายอำนาจในตลาดสินค้าและบริการ (Extent of Market Dominance) และอยู่อันดับที่ 62 ในด้านประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า (Effectiveness of Anti-Monopoly Policy) หมายความว่าประเทศไทยปล่อยให้มีการผูกขาดของนายทุนรายใหญ่กันมาก และการบังคับใข้ดฎหมายในเรื่องป้องกันการผูกขาดยังมีประสิทธิภาพที่ต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อยไม่สามารถพัฒนาก้าวขึ้นเป็นรายใหญ่ได้เพราะถูกปิดกั้น ปิดโอกาสการพัฒนาของประเทศ ดังนั้นการทำลายการผูกขาดจึงจำเป็นอย่างมาก หากประเทศไทยต้องพัฒนาต่อไป
กรณีที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน พยายามบอกว่าเศรษฐกิจไทยปี 66 จะเป็นขาขึ้นนั้น น่าจะเป็นการขายฝันมากกว่า เพราะปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจอีกมาก เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย การส่งออกของไทยคงไม่เพิ่มมากนักและอาจจะลดลงด้วย อัตราดอกเบี้ยของไทยที่น่าจะต้องเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อที่อาจจะยังไม่ลดลง ค่าไฟฟ้าที่ยังจะเพิ่มขึ้นอีก และราคาสินค้าและบริการที่จะปรับขึ้น หนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือนที่จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นและหนี้เสียจะมากขึ้นจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและจ่ายไม่ไหว อีกทั้ง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาที่อ้างว่าไทยฟื้นเร็วสุด น่าจะเข้าใจผิดเพราะเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในแดนลบมา 3 ปีแล่ว จากปี 63 ที่ติดลบ 6.2% และยังไม่ฟื้นที่เดิมเลย แถมการท่องเที่ยวของประเทศอื่นฟื้นแล้ว ห้องพักจองกันเต็ม แต่ของไทยกลับว่าง แถมยังจะไปเก็บค่าเหยียบแผ่นดินให้เป็นที่กวนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก
อีกทั้งการที่รัฐบาลจะจัดงบประมาณปี 66 โดยจะกู้ถึง 1.05 ล้านล้านบาทนั้นน่าเป็นห่วงว่าจะทำให้หนี้สาธารณะยิ่งพุ่งสูง เพราะกู้มากแต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ ยิ่งกู้มากหนี้ยิ่งทะลุ ทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพียิ่งเพิ่มขึ้นและอาจจะต้องไปขยายเพดานที่ 70% กันอีก ซึ่งรัฐบาลในอนาคตจะต้องใช้หนี้แทน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 40 ปีถึงจะใช้หนี้หมด ลูกหลานจะยิ่งลำบากกันมาก
ดังนั้นหากมองตัวเองย้อนหลัง พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะทราบดีว่าการบริหารเศรษฐกิจล้มเหลวมาตลอด หากยังดื้อรั้นเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะพบกับอุปสรรคจำนวนมาก โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สามารถรับมือได้เลย คนไทยจะยิ่งลำบากและประเทศไทยจะยิ่งเสื่อมถอยลงอีก ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องได้สำนึกและออกไปได้แล้ว
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขาธิการพรรค และกรรมการคณะยุทธศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ รอดจากการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแบบฉิวเฉียด แต่ชะตากรรมของประชาชนคนไทย 66 ล้านคนอาจไม่รอด 8 ปีเต็ม ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการทำงานที่ล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล จากวิกฤตโควิดลามถึงปัญหาเงินเฟ้อ เงินบาทอ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 ปี คนตกงาน คนจนเพิ่มขึ้น ค่าไฟฟ้า ค่าครองชีพ แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะวัดผลงานตอนเป็นนายกฯจากการรัฐประหาร หรือเป็นนายกฯหลังเลือกตั้ง 62 ก็ล้มเหลวทุกมิติ ไม่ขาดตอน พล.อ.ประยุทธ์ รอดแต่คนไทยอาจไม่รอด 8 ปีที่ล้มเหลว คงไม่สามารถหวังปาฏิหาริย์ชั่วข้ามคืนว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ นอกจากเดินหน้าสร้างหนี้และกู้เงินทำลายสถิติของตัวเองไปเรื่อยๆ ประชาชนต้องช่วยกันจับตาว่าจะมีการกู้มาแจกเพื่อซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ รู้ตัวดีว่าถ้าลาออกหรือยุบสภา โอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทบเป็นศูนย์จึงพยายามสืบทอดอำนาจให้นานที่สุด แม้ประชาชนจะขับไล่อย่างหนักก็ตาม
"ถ้าพอเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชน หลังจบเอเปค พล.อ.ประยุทธ์ ควรยุบสภา เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศได้เลือกผู้นำประเทศด้วยมือประชาชนเอง" นายอนุสรณ์ กล่าว