นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงความชัดเจนในการทำงานการเมืองหลังมีกระแสข่าว ส.ส.พปชร.เตรียมย้ายออกไปอยู่พรรคการเมืองอื่น โดยยืนยันว่า กลุ่มสามมิตรยังไม่คิดไปไหน ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ และส่วนตัวยังมั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถควบคุมสถานการณ์และทำงานไปได้
นายสมศักดิ์ ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.65 หลังกลับมาจากต่างประเทศ ก็ไม่ได้พบใคร และไม่ได้ทำงาน เพราะไม่สบาย จึงไม่ได้พูดคุยเรื่องการเมืองกับใคร เรื่องที่มีข่าวออกมานั้น จึงไม่ทราบข่าวว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ส่วนข่าวการไปร่วมงานวันเกิดของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสมโมรสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ดนั้น ได้ทราบว่ามีสมาชิกพรรคบางคนไปร่วมงานวันเกิดของผู้ใหญ่พรรคการเมืองอื่น ก็อาจเป็นการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการคิดอะไรกันไป แต่ไม่ได้ระบุว่าจะมีการหารือกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในพรรค ทั้งกระแส ส.ส.ลาออก หรือแพแตกหรือไม่
ส่วนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะครบวาระ 8 ปีในปี 2568 ทำให้อยู่ในการเมืองได้แค่ 2 ปี จะเป็นปัญหาในการสู้ศึกเลือกตั้งหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่า ไม่มีปัญหา เหลือ 2 ปี สามารถไปต่อได้ และพรรคพลังประชารัฐจะเสนอแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คนหรือไม่นั้น คงต้องพูดคุยกันก่อน
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว. อุตสาหกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ออกมาสยบข่าวลือกรณีมีข่าวว่า "กลุ่มสามิตร" จะย้ายพรรค โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และยังคงอยู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อไป และจะไม่ไปไหน และในอนาคต ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็จะยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐด้วย พร้อมย้ำว่าจะอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์
ส่วนกระแสข่าวที่ถูกมองว่าพรรคพลังประชารัฐกระแสตกต่ำนั้น นายสุริยะ เชื่อว่า สิ่งที่รัฐบาลนี้แก้ปัญหาโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 สงครามยูเครนกับรัสเซีย ถือเป็นสภาวะที่ไม่ปกติ แต่รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าประชาชนจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง
"เป็นเรื่องปกติที่มีการพุ่งเป้ามาที่กลุ่มสามมิตรว่าจะย้ายพรรค และเป็นการคาดเดาไปเอง ขอยืนยันให้เกิดความชัดเจนว่า กลุ่มสามมิตรสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ส่วนกลุ่มอื่นจะย้ายพรรคหรือไม่ คงไปบังคับใครไม่ได้ แต่ย้ำว่ากลุ่มสามมิตรยังอยู่ที่เดิม" นายสุริยะ กล่าว
ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีในเวลานี้นั้น นายสุริยะ เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมา ตนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมการช่วยเหลือชาวไร่อ้อย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สนับสนุนให้ให้มีรายได้ที่ดีขึ้นและมีความพึงพอใจ ที่สำคัญ นายกรัฐมนตรียังสนับสนุนงบกลางให้กระทรวงอุตสาหกรรม ฝึกอาชีพแก่ประชาชนจำนวนถึง 1.4 ล้านคน ถือเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้ทำให้กับประชาชน และส่วนตัวก็มีความพึงพอใจ