นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ มีมติเห็นชอบแผนการกู้เงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.5 แสนล้านบาท โดยมีกรอบระยะเวลาใช้เงินคืน 7 ปี ส่งผลให้หนี้ก้อนนี้เป็นหนี้สาธารณะที่ประชาชนต้องชดใช้ให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยถูกบวกจ่ายเพิ่มในทุกครั้งที่ประชาชนไปเติมน้ำมัน
"โรงกลั่นน้ำมันฟันกำไรเกินควร เพราะไปยึดส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดิบดูไบ และราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ เป็นต้นทุนค่าการกลั่นสมมติ เมื่อเกิดภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์พุ่งสูงขึ้น เมื่อหักลบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ เลยทำให้ส่วนต่างซึ่งเป็นต้นทุนค่าการกลั่นที่สมมติพุ่งสูงขึ้นไปด้วย ทั้งที่ต้นทุนค่าการกลั่นที่แท้จริงก็เท่าเดิม เลยทำให้โรงกลั่นฟันกำไรมหาศาล ส่วนรัฐบาลไม่กล้าเข้าคุมค่าการกลั่น แต่ปล่อยให้กองทุนน้ำมัน จ่ายเงินพยุงราคาให้ประชาชน จนปัจจุบันกองทุนถังแตกติดลบกว่า 1.5 แสนล้านบาท ต้องมาขอให้รัฐบาลช่วย กลายเป็นหนี้สาธารณะที่ประชาชนต้องผ่อนคืนจากกระเป๋าของเราเองในทุกครั้งที่เราเติมน้ำมันไปอีก 7 ปี" นายอรรถวิช กล่าว
รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ขอฝากคำถามว่า 1.กระทรวงพลังงาน เคยประกาศจะไปขอเงินบริจาค 2.4 หมื่นล้านบาทจากโรงกลั่น วันนี้อยู่ไหน 2.ที่ตนและนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เคยเสนอให้ออกพระราชกำหนดเก็บภาษีลาภลอยกับโรงกลั่น ทำไมไม่ทำ 3.ท่านรู้หรือไม่ ถ้าท่านดึงเรื่องการออกพระราชกำหนดเก็บภาษีลาภลอยจนข้ามปี โรงกลั่นที่เป็นบริษัทมหาชน จะจ่ายกำไรเป็นเงินปันผลไปให้ผู้ถือหุ้นหมด จะเก็บภาษีไม่ทัน จึงมองว่าการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจแบบนี้เสียหาย เหมือนล้วงเงินประชาชนไปเป็นกำไรโรงกลั่นน้ำมัน