พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ตอบกระทู้สดของ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ถึงความจำในการออกกฎกระทรวงอนุญาตให้ต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 40 ล้านบาท สามารถถือครองที่ดิน 1 ไร่ ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการขายชาติเนื่องจากปัจจุบันมีประชาชนราว 80% ยังไม่มีที่ดินทำกิน
รมว.มหาดไทย กล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า เรื่องดังกล่าวเป็นแนวทางการพิจารณาของคณะกรรมการเศรษฐกิจเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย โดยมุ่งจูงใจกลุ่มเป้าหมาย 4 ประเภทที่ได้รับวีซ่าประเภท Long-Term Resident Visa หรือ LTR Visa ให้เข้ามาลงทุน ซึ่งเป็นมาตรการที่รัดกุมมากกว่าในอดีต เช่น ห้ามไม่ให้ซื้อแปลงที่ดินติดกัน, ห้ามขายเปลี่ยนมือให้ต่างชาติคนอื่น ยกเว้นคนไทย อย่างไรก็ตาม หลังจากรับฟังความคิดเห็นแล้วสามารถที่จะกำหนดเงื่อนไขให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้นก็ได้
"ไม่มีเจตนาที่จะขายชาติ ไม่มีใครคิดเช่นนั้น" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
นายสุทิน ถามต่อว่า เงื่อนไขในการออกกฎกระทรวงครั้งนี้มีความหละหลวมมากกว่าในอดีต เช่น ลดระยะเวลาในการลงทุนจาก 5 ปีเหลือ 3 ปี, กลุ่มผู้เกษียณอาจไม่ได้เป็นผู้มีความสามารถตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ อยากรู้ว่ามาตรการนี้รัฐบาลต้องการช่วยกลุ่มทุนใหญ่ในเขตเมืองหรือผู้ประกอบอสังหาริมทรัพย์ที่ยังขายไม่ออกหรือไม่
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนเช่นกัน เพราะหากอยากได้สิทธิซื้อครองที่ดินแล้วต้องผ่านเกณฑ์ LTR Visa คงไม่มีจำนวนมากเท่ากับจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ การกำหนดเรื่องระยะเวลาถือครองหรือจำนวนเงินลงทุนนั้นยังไม่ได้ข้อยุติ หลังจากคณะกรรมการกฤษฎีการับฟังความคิดเห็นจากประชาชนแล้วสามารถปรับปรุงให้รัดกุมมากยิ่งขึ้นได้
"ไม่มีเจตนาเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน ไม่มีเจตนาตามที่มีความกังวล การดำเนินมาตรการนี้ไม่ใช่รัฐบาลจนมุมในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ได้มีมาตรการเดียวแต่มีหลายมาตรการ" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
นายสุทิน กล่าวว่า เกรงว่ากรณีนี้อาจเกิดผลกระทบตามมาในอนาคตแล้วจะกลายเป็นการขายชาติโดยไม่เจตนา เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยไม่ได้แข็งแรงเหมือนในต่างประเทศ ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องนอมินี การที่รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องดังกล่าวในขณะนี้จะมีบริบทแตกต่างจากเมื่อปี 45 จึงอยากรู้ว่ารัฐบาลมีมาตรการป้องกันผลกระทบอย่างไร
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความตระหนักเรื่องความเหลื่อมล้ำ โดยกำลังรวบรวมความคิดเห็น และข้อกังวลความห่วงใย เพื่อนำเสนอให้ผู้ที่รับผิดชอบนำไปพิจารณาให้เกิดความรอบคอบรัดกุมต่อไป